“ไบร์ท นรภัทร” พิสูจน์ตัวเองเพื่อลบปมในใจ 5 ปี โดนด่าจนอ่วม ไม่มีวันไหนที่ทำใจได้

นับเป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่ฮอตมากๆ ในตอนนี้ สำหรับ ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์  พระเอกหนุ่มที่พัฒนาตัวเองมาอย่างต่อเนื่องในวงการบันเทิง และตอนนี้ ไบร์ท ถูกพูดถึงรัวๆ จากผลงานละครเรื่องล่าสุด “ใต้หล้า” ออนแอร์ทางช่อง ONE31 ได้รับกระแสที่ดีตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ที่เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของเรื่องก่อนจะปิดฉากลงเร็วๆ นี้ 

ล่าสุด ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ไบร์ท” ที่สลัดคราบหนุ่มอบอุ่นมารับบทร้ายๆ ในละครใต้หล้า ต้องให้เจ้าตัวเล่าถึงความทุ่มเทในละครเรื่องนี้ พร้อมเปิดชีวิต 5 ปี ในวงการบันเทิง เบนเข็มจากสายวิศวะกร สู่นักแสดงที่เดินท่ามกลางมรสุมคำวิจารณ์ต่างๆ นานา แต่เจ้าตัวยังไม่ยอมแพ้ ขอพิสูจน์ตัวเองจนกว่าจะประสบความสำเร็จ

“รับบทเป็น “หิรัญ” ครับ เขาเป็นเหมือนตัวร้ายในเรื่องแหละ แต่ไม่ได้ร้ายแบบเป็นตัวร้ายมากๆ เขาเหมือนเป็นคนนึงที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี ครอบครัวเพรียบพร้อมทุกอย่างขาดอย่างเดียวที่เขาต้องการคือความรัก พ่อก็เป็นเศรษฐีที่ต้องการลูกมาสืบทอด พ่อก็เลยคาดหวังที่ตัวหิรัญเยอะ แต่เขาไม่มีเวลาให้เราเลย มีแค่กดดันและคาดหวัง อยู่บ้านก็โตมากับคนใช้ ถูกพ่อใช้ความรุนแรงเสมอ นั่นหมายความว่า หิรัญ เขาก็จะลอกเลียนแบบพฤติกรรมของคนในบ้าน และมาแสดงออกกับคนอื่น ทั้งเรื่องการใช้กำลัง การแก้ปัญหาที่ผิดวิธีครับ”

สลัดภาพหนุ่มอบอุ่นแสนดีสู่บทร้ายๆ 

“ทำการบ้านหนักครับ และตอนถ่ายเรื่องนี้ก็ถ่ายอีกเรื่องอยู่ด้วย เรื่องนั้นเป็นคนดี อบอุ่น ต่างกับเรื่องนี้เลย ตอนถ่ายเหมือนเป็นไบโพลาร์เลย (หัวเราะ) ก่อนถ่ายทำเราก็เวิร์คช็อปกัน ตอนแรกผมรู้แหละว่าบทนี้ยากแต่ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้ ก็ต้องตั้งใจมากๆ ทำหลายอย่างเพื่อถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ออกมาให้ได้ดีที่สุด ผมว่าถ้าเล่นร้ายไปเลยมันไม่ยากนะ แต่นี่เขาร้ายแบบมีมิติ ร้ายแบบมีเหตุผลว่าทำไม เป็นตัวละครที่คาดเดาได้ยากมาก แต่ผมก็ชอบมาก เพราะจริงๆ ผมไม่ค่อยชอบเล่นละครที่คนเดาได้เพราะมันเซ็งนะ พอมาเจอแบบนี้มันท้าทายนะ ในมุมครอบครัวเขาโดนทำร้าย โดนกดดัน ในมุมความรักเขาก็เป็นผู้ชายคนนึงที่มีความรัก แต่ถูกความแค้นครอบงำ ตัวละคร หิรัญ กับ ใต้หล้า เขาเป็นจุดกำเนิดของเรื่องเลย แล้วทั้งคู่เป็นคนละขั้ว ถ้าคนนึงกำลังแฮปปี้ อีกคนก็กำลังเศร้า ถ้าอีกคนกำลังแฮปปี้มากๆ แสดงว่าอีกคนกำลังเศร้ามากๆ แบบนั้นเลย”

“ผมทำการบ้านหลายอย่างเลยนะกว่าจะได้ตัวหิรัญที่พอดี ถึงขั้นโทรไปถามเพื่อนที่ครอบครัวเขารวยๆ ว่าเขาใช้ชีวิตกันยังไง คนรวยเขาคุยกับคนใช้กันหรือเปล่า อยู่บ้านเขาทักคนใช้มั้ย เขาคุยอะไรกันวันวันนึง อะไรแบบนี้ พอเรารู้ว่าความจริงเป็นแบบนี้เราก็จะเห็นภาพมากขึ้น เข้าใจมากขึ้นครับ”

ปะทะ “ต่อ ธนภพ” 

“โอ้โห ดีมากเลยครับ ผมปลื้มพี่เขาอยู่แล้ว ตั้งแต่เจอพี่เขาตอนออดิชั่นผมรู้สึกว่ามันส์ที่สุดในชีวิตผมแล้ว เราใส่กันสุดมาก วันนั้นผมเข้าไปในตึกแกรมมี่ด้วยความตั้งใจเดียวเลยว่า “จะเล่นเรื่องนี้” (หัวเราะ) ตอนนั้นใส่สุดเลย ไม่ได้เกร็ง ไม่ได้สนอะไรเลย ผมแบกแค่ความรู้สึกว่าจะเล่นเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเจออะไรผมไม่สนแล้ว เหมือนได้ปลดล็อกอะไรบางอย่างในตัวเอง ว่าความไม่กล้า ความเกร็ง ความเกรงใจมันบล็อกความสามารถเรามากเลยนะ พอเราได้เริ่มทำงานเราทำด้วยความสนุก ทุกคนก็ทำด้วยควาสนุก ทุกคนมาเต็มมากไม่มีใครต้องรอใคร ทำให้ทุกอย่างเป๊ะมาก”

ไบร์ท-ต่อ

ร่วมงานกับเทพของวงการแบบแน่นๆ 

“ตอนแรกผมเห็นรายชื่อนักแสดง บางคนผมรู้จักชื่อแต่ไม่รู้จักหน้า บางคนรู้จักหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อ ผมเอาไปให้พ่อแม่ผมดู พ่อแม่ถึงขนาดร้อง อุ้ย!! ตื่นเต้นกับรายชื่อนักแสดงที่เราจะได้ร่วมงานด้วยมากเพราะแต่ละคนรุ่นใหญ่ ระดังครู อย่างแรกเลยผมภูมิใจที่ได้ร่วมโปรเจ็กต์นี้ ได้อยู่ท่ามกลางคนเก่งๆ แต่ถามว่าเกร็งไหม ไม่เกร็งๆ เพราะอย่างที่บอกเกร็งไปไม่ดี มันทำให้เราดึงศักยภาพออกมาได้ไม่เต็มที่ ผมก็แค่ทำให้เต็มที่เท่านั้น แต่ระหว่างการทำงานผมก็จะแอบเก็บเทคนิคของพี่ๆ เขามา แอบศึกษาการแสดงของพี่ๆ เขา แอบดูความเก๋าในการแสดงที่ผมชอบมากๆ เลย”

สอดแทรกอะไรให้แฟนละครได้เห็นบ้าง

“เรื่องนี้ความสะท้อนสังคมจัดเต็มแน่ๆ สะท้อนยิ่งกว่ากระจกอีก (หัวเราะ) เรื่องนี้มีหลายมุมที่ผมชอบ ทั้งเรื่องครอบครัว การเลี้ยงดูลูก ที่พ่อแม่อาจจะได้เห็นว่าการเลี้ยงลูกแบบไหนแล้วลูกจะโตมาเป็นยังไง รวมทั้งมุมของความรัก มุมแรงบันดาลใจจากความเป็นใต้หล้า ที่เขาต้องเผชิญมรสุมของชีวิตแต่เขาเลือกยึดมั่นในความดี ยึดมั่นในคุณธรรม สู้ต่อไปเรื่อยๆ จนเขายิ่งใหญ่ เพราะความดีของเขา ทำให้เขาเจอแต่คนดีๆ ที่ส่งเสริมให้เขายิ่งใหญ่ขึ้น ผมว่ามุมนี้ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ วัยรุ่น ได้หมดเลย ใต้หล้าไม่ได้มีอะไรเลย แต่เขาลงมือทำโดยที่ไม่ยอมแพ้ เจอปัญหาก็แก้ไขไปเรื่อยๆ ผมชอบมุมนี้ที่สุดเลย ดูแล้วเกิดแรงบันดาลใจ”

“เป้าหมายของผมสำหรับละครเรื่องนี้ ผมหวังว่าจะเป็นละครที่ดี ถ้าดังก็ดีนะ แต่ถ้าไม่ดังก็ไม่เป็นไร ขอแค่เป็นละครที่ดีที่ให้อะไรกับผู้ชม รวมทั้งให้เป็นตัวอย่างของละครเรื่องอืนๆ ว่าแบบนี้คือละครที่ดีนะ ผมก็อยากจะฝากละครเรื่องนี้ด้วย อยากให้ติดตามจนถึงตอนสุดท้ายเลย พวกเราทุกคนตั้งใจกับเรื่องนี้กันมาก ใครอาจจะดูสดไม่ทันก็ดูย้อนหลังได้ในแอพลิเคชั่น oneD ครับ”

5 ปี ในวงการ ไม่มีวันไหนที่ง่ายเลย

“ตลอดเวลาที่ทำงาน คนอาจจะเห็นว่างานผมออกมาเรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้วมันจะเป็นแบบช่วงไหนถ่ายละครก็จะถ่ายพร้อมๆ กันหลายเรื่อง ไม่ใช่ถ่ายทีละเรื่องแล้วพอจบก็มีต่อทันที แล้วก็จะหายไปเลยพักใหญ่ 6 เดือน หรือ หายไปปีนึงอะไรแบบนี้ ซึ่งก็ดีครับ มันทำให้ผมรู้สึกท้อแท้อยู่หลายครั้ง (หัวเราะ) รู้สึกว่าเขาลืมเราแล้วหรือเปล่านะ ทำยังไงดี ข้อดีคือเราได้เรียนรู้ชีวิตตลอด ช่วงที่ว่างผมก็มีเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง เพราะตอนทำงานเราก็จะแค่ ตื่นเช้า ไปกอง กลับบ้านนอน วนอยู่แบบนี้ ไม่ได้ประสบการณ์อะไรที่ฉีกออกไป พอเราได้หยุดเราได้ไปท่องโลก ไปเจออะไรใหม่ๆ ทำให้เรามีอะไรในหัวมากขึ้น”

ไบร์ท จากละคร ใต้หล้า

“ในแง่ของการทำงานในวงการ ตลอดเวลา 5 ปี ผมได้เรียนรู้เยอะ ตอนเด็กๆ ที่เข้ามาเราไม่ได้อยากขาดวินัยนะแต่เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แล้วบังเอิญว่าไม่มีใครมาคอยบอกเรา ทุกคนอยากให้เราเล่นดี แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าต้องทำยังไง พองานออกมาไม่ดีก็โดนด่า แต่พอนานเข้าเราสะสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ ได้เรียนรู้อย่างนึงว่าเราไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาบอกว่าต้องทำอะไรแต่เราต้องออกไปหาเอง ถ้าเราหาไม่ได้แสดงว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ และผมว่าผมใช้ชีวิตได้สนุกขึ้นนะ จากเด็กที่ไม่เอา ไม่แคร์ใครเลย แต่พอเป็นพระเอกเราก็ต้องเรียนรู้ความเป็นพระเอก จริงๆ เป้าหมายของผมไม่ค่อยได้สนชีวิตตัวเองเท่าไหร่หรอก แต่ผมสนเรื่องงานของผมว่าอยากให้ประสบความสำเร็จมากๆ”

“ผมเคยเขียนลงในกระดาษว่า “ประสบความสำเร็จ” ของผมเป็นยังไง แล้วมันต้องมีอะไรบ้างที่ทำให้เราไปถึงคำนั้น อย่างแรกเลยคือต้องเก่งมากๆ แล้วทำยังไงถึงจะเก่งล่ะ ต้องเรียนหรือเปล่า และผมจะไล่ทำทุกอย่างในลิสต์ กลายเป็นว่าเราสนุกกับความท้าทาย เหมือนเราเล่นเกมส์ให้ผ่านไปทีละด่านๆ แต่ตอนเด็กๆ ผมไม่เข้าใจหรอก ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเป้าหมายคืออะไร แล้วต้องทำอะไรบ้าง”

ความสำเร็จของไบรท์ หน้าตาเป็นยังไง

คือคุณภาพชีวิตครับ ผมเกิดมาในครอบครัวที่อีกนิดนึงก็เกือบจะจนแล้ว ผมอยากพาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง ขับรถดีๆ อยู่บ้านดีๆ กินข้าวดีๆ ได้ใช้ของดีๆ แค่นั้นเองครับเป้าหมายของชีวิตผม ผมอยากให้ครอบครัวได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ในวันที่เขายังมีเวลา อยากให้เขาได้กินได้ใช้ครับ ตอนนี้ถามว่าใกล้คำนั้นหรือยัง ก็ยังหรอกครับ แต่เริ่มเห็นภาพมากขึ้น เรารู้ว่าถึงวันนี้ยังไม่มี แต่ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ สักวันมันก็ต้องมี ถ้าเรายังมีแรงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะครับ”

วันที่ท้อแท้ของ ไบรท์ จัดการกับมันยังไง?

“ช่วงท้อก็จะเป็นช่วงที่เราไม่ได้ทำงานเป็นระยะเวลานานๆ อย่าง หกเดือน ปีนึง เราได้ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เงินก็จะเริ่มหมด (หัวเราะ) พอเงินหมดก็รู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ ต้องทำงาน เราต้องตั้งใจมากกว่านี้อีกนะ ถ้าเราเก่งจริงเขาไม่ปล่อยให้เราว่างหรอก สุดท้ายก็วนมาเรื่องเดิมคือต้องเก่งขึ้น ถ้าเราเก่งเราไม่อดตายแน่นอน”

“ตัวผมตอนนี้ถ้าให้ประเมินตัวเองผมว่าก็พัฒนามาในแทบทุกด้านนะจากเมื่อ 2 ปี ที่แล้ว เพราะผมเริ่มต้นมาแย่มาก ผมว่าแย่ที่สุดในทุกคนแล้วมั้งในช่องนี้ (หัวเราะ) แต่มันก็ดีนะ เราเริ่มจากแย่ พอเราพัฒนาชึ้นคนก็ได้เห็นความพัฒนาของเรา งานตรงนี้จากที่เคยคิดไว้ต่างจากเรื่องจริงที่ได้เข้ามาทำเลยนะครับ ตอนแรกคิดว่านักแสดงแค่เล่นหนัง ละคร ซีรีส์ งานออกไปคนได้เห็นเรา เราก็จะดัง ได้ออกอีเว้นต์ ได้เงิน เก๋ๆ แต่พอเข้ามาทำจริง เราชะงักตั้งแต่ช็อตดังละ ละครกว่าจะดังมันยากมากนะ ไม่ใช่เล่นแล้วดังเลย ก็พยายามทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ ยังต้องไปอีกเยอะ ตอนนี้ชื่อเสียงเอาไว้ก่อน ขอทำให้ตัวเองเก่งก่อน ถ้าเก่งแล้วยังไม่ดังต้องมาพิจารณาตัวเองใหม่ละว่าเราพลาดอะไรไปหรือเปล่า แต่ตอนนี้ความเชื่อของผมคือถ้าเราเก่งจริงยังไงก็ดัง เพราะผมเริ่มจากความที่แย่มากๆ โดนด่าเยอะ เล่นแข็งบ้างอะไรบ้าง เหมือนมันเป็นปมของเรา เพราะฉะนั้นก่อนจะทำอะไรก็ตามขอลบปมนี้ให้ได้ก่อน ต้องทำให้คนเลิกพูดว่าผมเล่นแข็งให้ได้สักที”

ไบร์ท นรภัทร

“ช่วงแรกๆ ที่โดนด่าเยอะๆ ยอมรับว่านอยด์มากที่สุดเลย ผมโดนหมดตั้งแต่คนดู คนรอบตัว เพื่อน พี่ น้อง ผู้ใหญ่ โดนจนอ่วมครับ ก็ท้อครับ แต่ทำยังไงได้ จะให้ทิ่งตรงนี้ไปเหรอ ถ้าทิ้งก็แพ้สิ ถ้าเราโดนด่าแล้วเราออกไปแสดงว่าเราแพ้ ผมอยากออกไปแบบภูมิใจหน่อย เอาจริงๆ กับการโดนด่าต่างๆ ผมไม่เคยทำใจได้เลยนะ ทุกวันนี้ผมเข้าไปดูคอมเมนต์ แค่คอมเมนต์เดียวจากร้อย จากพันคอมเมนต์ที่บอกว่า ไม่ดูหรอกเรื่องนี้ พระเอกคนนี้เล่นแข็ง ผมก็เอากลับมาคิดแล้วนะว่าเขาเห็นเราจากเรื่องไหน คาดหวังว่ามันจะเป็นเรื่องที่เก่ามากแล้ว ก็อยากให้เขาลองกลับมาดูงานใหม่ๆ ของผมดูว่าผมยังเล่นแข็งอยู่ไหม ผมเป็นคนชอบความท้าทาย ถ้าแพ้ก็ขอแพ้แบบสู้สุดตัวแล้ว”

เบนเขมจาก “วิศวะกร” สู่ “นักแสดง”

“ครับ เรียนวิศวะอยู่ปีนึง แต่ก็รู้สึกไม่ไหว มันหนักมากสำหรับผม ช่วงนั้นผมทำงานในวงการแล้วด้วย ก็ต้องทั้งทำงาน ทั้งเรียน ต้องขาดเรียนมาถ่ายละคร ผมรู้ตัวเองว่าไม่ไหว เลยเลือกจะออกเพราะถ้าผมจับปลาสองมือผมเจ๊งแน่นอน เราต้องประเมินตัวเองแล้วเลือกสักอย่าง ตอนแรกก็ลังเลว่าจะเลือกอะไรดี ถ้าเราเรียนสายนั้นต่อไป จบไปเราก็จะมีเงินเดือนก็จริงแต่มันก็ยังมีเพดานของรายได้ แต่ผมเชื่อว่างานในวงการบันเทิงเพดานมันไกลกว่า ผมจะมีเงินมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผมเก่งแค่ไหน สายนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา ส่วนวิศวะกร เราอาจจะไปเป็นพนักงานบริษัท มันต้องขึ้นอยู่กับหัวหน้างาน เจ้าของบริษัท หรืออะไรต่างๆ ต่อให้เราทำดีแทบตายเราก็อาจจะได้เงินเท่าเดิม ชีวิตผมคงจะค้างแค่ตรงนั้น แต่ตรงนี้ผมดูว่ามันเป็นโลกสีสดใสดี มีอะไรให้ทำเยอะ มีอะไรให้ลองลุยและสนุกมาก การเบนสายมาทางนี้มันเปลี่ยนทัศนคติผมเยอะมากครับ ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่เคยเสียใจเลยที่เลือกทางนี้”

จริงจังกับทุกเรื่องในชีวิต

“จริงจังกับทุกเรื่องครับ เพิ่งมาเป็นช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ที่มีแพสชั่นกับชีวิต พอเรามีเป้าหมายมันดีที่ว่าเรารู้ว่าทุกวันนี้เราทำเพื่ออะไร ทำไมต้องทำ ผมชอบความท้าทาย ชอบเอาชนะ ผมว่าทุกเรื่องแหละถ้าเราตั้งใจทำมันจริงๆ เราก็ทำได้ และการเรียนรู้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วก็ประเมินตัวเองเสมอ นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมเลยครับ”

ฝากถึงแฟนๆ ที่คอยซัพพอร์ต ท่ามกลางมรสุมคำวิจารณ์

“แฟนๆ เป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผมเลยนะครับ ในวันที่ผมโดนด่าเยอะๆ แต่ก็มีกำลังใจจากแฟนๆ นี่แหละที่แบ่งเบาความทุกข์ในใจเราไปได้เยอะ ตลอดเวลาก็มีทั้งแฟนๆ ที่เข้ามาและจากไป เป็นธรรมดา ผมเป็นตัวของตัวเอง เป็นยังไงผมก็แสดงออกไปแบบนั้นตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน คนที่อยู่กับผมคือคนที่เข้าใจในตัวผมจริงๆ เหนื่อยก็บอกเหนื่อย ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว เหมือนคุยกับเพื่อน แฟนคลับผมก็เหมือนเพื่อนผม แล้วถ้าแฟนคลับทะเลาะกัน ผมก็จะเอาตัวเองออกมาและไม่เข้าไปอีก ไม่มีการมาสปอยด์กัน แต่ผมก็ไม่ได้โหดร้ายนะครับ เราเหมือนเพื่อนกันครับ ผมอยากบอกว่ามันเกินคำว่าขอบคุณไปแล้ว ผมซาบซึ้งจริงๆ แฟนคลับเหมือนแบตเตอรี่ของผมเลย ขอบคุณจริงๆ ครับ ที่คอยซัพพอร์ตผมไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม ขอบคุณ ผมมีความสุขมากครับ”