“เอกชัย ศรีวิชัย” ยังจำติดตา ย้อนเล่านาทีเฉียดตาย น้ำป่าถล่มบ้าน! เกือบเอาชีวิตไม่รอด

ยังคงจำได้ติดตาจนถึงทำวันนี้ สำหรับ เอกชัย ศรีวิชัย ศิลปินหนุ่มรุ่นใหญ่ วัย 59 ปี ที่เพิ่งจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาได้อย่างหวุดหวิด จากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากถล่มบ้าน ในจังหวัดพัทลุง

โดยล่าสุดขณะที่เดินทางมาร่วมงานรอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์ ส้ม ปลา น้อย เจ้าตัวก็ได้ถือโอกาสออกมาเปิดใจถึงช่วงเวลาดังกล่าวกับกองทัพสื่อ พร้อมกับเผยว่าวินาทีนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และถ้าหากตนเองไม่สามารถเอาชีวิตรอดออกมาได้ คงกลายเป็นข่าวดังขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์อย่างแน่นอน

  • “เอกชัย ศรีวิชัย” เคลียร์ข่าวเป็นมาเฟียคุมภาคใต้ เล่าเรื่องเจอปาฏิหาริย์ไอ้ไข่ วัดเจดีย์

วินาทีเฉียดตาย น้ำป่าไหลหลากถล่มบ้าน ?
“ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน มันเกิดขึ้นภายใน 3-4 นาที น้ำขึ้นถึงหน้าอก มันเร็วมาก ดีที่เราตื่นทันก่อน คือน้ำมันไม่ได้มาเงียบ มันมาแบบเสียงเซอร์ราวด์ ปึ้งปัง แล้วฝนก็ตกหนักด้วย มีลมพายุด้วย โชคดีที่วันนั้นเรานอนเปิดม่าน ปกตินอนปิดม่าน แล้วก็ไม่เปิดไฟที่ส่องลงไปในน้ำ ยกเว้นแต่เราจะนั่งปาร์ตี้ชิวๆ กันข้างนอก แต่วันนั้นเปิดสปอร์ตไลท์ส่องไว้ด้วย ไม่รู้นึกยังไง ก็เห็นเลย มันมาเร็วมาก แล้วก็เป็นน้ำขุ่นแดงน่ากลัวมาก เป็นภาพติดตาเลย”

“อีกอย่างคือเราเพิ่งรู้ว่า ประตูกระจกเวลาน้ำท่วมมันเปิดไม่ได้ สไลด์ก็ไม่ออก ผลักก็ไม่ออก เราต้องใช้แขนกระแทก แล้วพอกระแทกเสร็จปุ๊บ เราต้องหลุดออกไป เพราะน้ำมันตีเข้ามา พอวิ่งออกมาจะถึงอกแล้ว แล้วรถจอดอยู่บนเนิน แต่ดันจอดเอาหัวเข้าบ้าน ก็ต้องถอย ก็ถอยแบบน้ำไล่ตามหลัง เหมือนหนังเลย”

“เป็นนาทีหนีตาย คิดว่าถ้าตายในบ้านจะขี้เหร่มาก โคลนพอกเต็มตัว กางเกงต้องหลุด แล้วมันจะต้องหดเหลือเล็กนิดเดียว ผมก็ไม่ได้ไดร์ รองพื้นก็ไม่ได้แต่ง เละเทะมากเลย มันเป็นความคิดที่ไม่ใช่คิดแวบหนึ่งนะ คิดตลอด (หัวเราะ) คิดเลยว่าถ้าตายในนั้น มันต้องขึ้นหน้า 1 แน่เลยเอกชัยโดนน้ำป่าทล่มตายคาบ้าน”

สภาพตอนที่ออกมาได้เป็นยังไง ?
“ตอนออกมาได้เราน้ำตาไหลเลยนะ วันนั้นอยู่คนเดียวด้วยไง ไม่มีลูกน้อง ไม่มีใครอยู่ ที่น้ำตาไหลมันไหลเพราะเราทุเรศตัวเอง เสื้อผ้าเราเปียกหมดเลย ฝนก็กระหน่ำ ตอนถอยรถออกมามันก็ถอยได้ไม่ตรง เพราะถนนมันโค้ง มันก็ลงข้างโน่นข้างนี้ ไฟก็มองไม่เห็น มันสมเพชตัวเอง ว่ากูต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เหรอ ก็เรียกว่าทุลักทุเล พอวันรุ่งขึ้นก็ตัดสินใจว่าไม่อยู่แล้ว แต่ว่าชาวบ้านเกือบ 200 คนในคืนนั้นมาช่วยกัน แล้วทุกคนก็มาช่วยกัน บอกว่าไม่เอานะ อย่าถอดใจ ต้องอยู่ที่ต่อ ก็เลยใจง่ายอยู่ต่อ”

มีอะไรเสียหายบ้าง ?
“เสียหายทุกอย่างเลยครับ ยกเว้นโครงสร้าง นาฬิกา 2 เรือน แล้วก็มีสร้อยที่ยังอยู่ เพราะเราถอดแล้วพันไว้กับเชิงเทียน แต่พระก็คงกินน้ำไปหลายอึกแหละ ตอนที่ออกไปเราก็มีแค่รถแล้วโทรศัพท์เครื่องเดียวครับ ถ้าให้ตีเป็นมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ก็หลายตังค์อยู่ เพราะพังหมดเลย เคลียร์อยู่เป็นอาทิตย์ครับกว่าจะเสร็จ เพราะโคลนมันถึงหน้าแข้งเลย”

ปกติเป็นทางที่น้ำป่าต้องผ่านอยู่แล้วหรือเปล่า ?
“ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า ในรอบ 40 ปีเขายังไม่เคยเห็นเลย บางคนบอกว่าเกิดมา 50-60 ปี ยังไม่เคยเห็นมันแรงขนาดนั้น มันเคยแรงแบบนี้ครั้งเดียว ตอนปี พ.ศ.2524 แล้วมาเจอช่วงที่เรากลับบ้านพอดี อีกครั้งหนึ่งก็น่าจะอีก 40 ปี พี่จะรอไหม”

บ้านอื่นก็เสียหายเหมือนใช่ไหม ?
“บ้านอื่นเสียหายมาก คือบ้านเรามันอยู่ติดกับน้ำตก มันเป็นแบบภูเขา และก็น้ำตก แล้วก็บ้านเราเลย ส่วนข้างล่างมันก็จะเป็นอีกชั้นหนึ่ง มันแรงกว่าบ้านเราอีก รีสอร์ต 15 ล้านไปทั้งแถบเลย”

ยังจะกลับไปอยู่บ้านนี้อีกไหม ?
“ตอนนี้ก็ยังอยู่บ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของลูกชาย แต่วันที่เกิดเหตุมันไม่อยู่ มันรู้ มันให้กูอยู่คนเดียวด้วย วันรุ่งขึ้นมันก็มาหานะ มาถึงก็ร้องไห้ ร้องทำพ่อมันเหรอ (หัวเราะ)”