“เบสท์ รักษ์วนีย์” ฝ่าทุกมรสุม พ่อล้มละลาย! คำบูลลี่ร้ายๆ แค่เป็นลูก “สมรักษ์” ก็โดนแล้ว

เป็นยูทูบเบอร์สาวที่ก้าวเข้ามาเป็นนางเอกหมาดๆ สำหรับสาวเก่ง เบสท์-รักษ์วนีย์ คำสิงห์ ลูกสาวคนสวยของนักมวยชื่อดัง สมรักษ์ คำสิงห์ ที่ตอนนี้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในทุกๆ ด้าน ทั้งเรื่องการทำงานเริ่มต้นทำยูทูบทำรายได้มหาศาล ปลดหนี้กู้วิกฤตล้มละลายของครอบครัว จนได้ฉายา อายุน้อยร้อยล้าน แบบเต็มภาคภูมิ เรื่องงานในวงการบันเทิง ที่กำลังก้าวเข้ามาเป็นนางเอกป้ายแดงในละคร “กู้ภัยหัวใจสู้” ออนแอร์ทางช่อง ONE 31 ถูกใจแฟนๆ จนช่วยกันสนับสนุนตั้งแต่ตอนแรก 

และเมื่อ มีโอกาส ได้นั่งพูดคุยกับสาวเก่งคนนี้ เลยต้องให้เจ้าตัวเผยใจถึงบทบาทใหม่ในชีวิตครั้งนี้ พร้อมเปิดเรื่องราวกว่าจะมาถึงวันนี้ ต้องฝ่ากระแสบูลลี่มากมายตั้งแต่เด็ก แค่เป็นลูกสมรักษ์ โดนหาว่ามั่นหน้า รวมทั้งเรื่องความรักกับแฟนหนุ่ม ตงตง กฤษกร ที่เปิดตัวมาพร้อมดราม่า เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไรไปฟังสาวเบสท์เปิดใจกันเลย

“เรื่องกู้ภัยหัวใจสู้ เบสท์ รับบทเป็น “ของขวัญ” เป็นสาวสู้ชีวิตเพราะโดนแม่เหมือนเป็นอุบัติเหตุลืมเราไว้บนรถแท็กซี่ เราเลยได้มาอยู่กับแม่ที่เป็นแท็กซี่ อยู่ในสลัม ชีวิตลำบากค่ะ พ่อเลี้ยงก็ไม่ชอบเรา เราเองก็อยากรู้ว่าแม่ที่แท้จริงเราเป็นใคร แล้วเขาทิ้งเราทำไม ก็เลยสืบตามหาว่าแม่จริงๆ คือใครค่ะ”

“ความคล้ายน่าจะเป็นเรื่องความสู้ชีวิต คือ ของขวัญเขาทำงานทุกอย่าง รับจ้างทุกอย่างไม่ว่ากี่บาทก็เอามาซื้อข้าวให้ที่บ้านกิน เอามาให้น้องชาย ซึ่งก็จะคล้ายๆ เราได้กี่บามก็เอาให้แม่หมด”

เรื่องแรกในการแสดง นานไหมกว่าจะเข้าที่?

“หือ ครึ่งเรื่องอยู่นะคะ (หัวเราะ) หนูนักแสดงใหม่ ตอนแรกๆ ก็เล่นไม่ได้เลย ทำไม่เป็นเลย แต่พอไปครึ่งเรื่องสัก 15 ตอน ก็เข้าใจแล้วแหละว่าทำไม ตั้งแต่นั้นมาก็เข้าใจตัวของขวัญมาตลอดเลย ทุกวันนี้ก็ยังเข้าใจ ให้กลับเป็นเล่นอีกก็ยังเล่นได้อยู่”

“ถามว่าเครียดไหม มันไม่ได้เครียดว่ากลัวคนว่า หรือ กลัวคนไม่ดูนะ แต่ว่าเครียดว่าเราไม่เข้าใจ เราเล่นไม่ได้เพราะเราไม่เคยเรียนการแสดง เราไม่เคยเวิร์คช็อป ก็เลยไม่เข้าใจว่ามันเล่นยังไง มันทำยังไง มันพูดยังไง มีแต่คำถามเต็มไปหมดเพราะเราไม่เข้าใจ กว่าเราจะเข้าใจมันก็ใช้เวลาค่ะ”

“คือเบสท์เป็นยูทูบเบอร์แล้วทางผู้จัดละครเขาเห็นว่าคาแร็กเตอร์เราได้ เพราะเราเป็นลูกนักมวย เขาต้องการคนที่ทะมัดทะแมง สู้คนได้ แล้วก็สู้ชีวิต ก็เลยเรียกเรามาว่ามีละคร กู้ภัยหัวใจสู้ นะให้เราเป็นนางเอก เราก็งงๆ ว่าแบบเล่นอะไรยังไง ทางผู้ใหญ่ทางช่องวันก็บอกว่าให้เซ็นต์สัญญาเลย เราก็เซ็นต์สัญญา อีกอาทิตย์นึงก็เปิดกล้องเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตอนนั้นพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจให้หมดเลย เพราะว่าพ่อกับแม่อยากให้เป็นดารา พอผู้ใหญ่ให้เซ็นต์สัญญาให้ละคร พ่อกับแม่ก็ดีใจ เขาก็มองว่าเป็นโอกาสค่ะ”

จากยูทูบเบอร์สู่นางเอก

“มันก็ต่างกันแหละ เพราะพอมาเป็นนางเอกแล้วเราต้องเป็นตัวละครนั้น แต่ว่าเป็นยูทูบเบอร์ เราเป็นตัวเองเต็มที่มาก แล้วเราจะแมทช์มันยังไงให้เราเป็นตัวละครนั้นได้ แล้วก็แยกตัวเองเป็นยูทูบเบอร์ได้ ตอนนั้นมันก็จะมีช่วงสับสนเพราะตอนเป็นของขวัญมันก็ติด เบสท์ คำสิงห์ ไป พอเป็น เบสท์ คำสิงห์ ก็มาติดของขวัญมันก็ไม่ได้นะ ก็จะงงๆ ค่ะ แต่ว่า หลักๆ ก็คือแตกต่างกัน ความเป็นดาราจะมาเป็นตัวเองสูงไม่ได้ เราก็เริ่มเข้าใจและปรับตัวเองมาเรื่อยๆ”

“เราจะเกรงใจนักแสดงคนอื่นมากกว่า เพราะทุกคนผ่านการทำงานมาหมด มีหนูคนเดียวที่เล่นเรื่องแรก แล้วหนูจะเกรงใจทุกคนไม่ว่าใครก็ตาม ไม่อยากเล่นผิด ไม่อยากพูดผิดเลย ไม่อยากทำผิดเลย อยากทำได้ มันก็เลยทำให้เรากระตุ้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพี่ๆ นักแสดงทุกคนดีค่ะ ทุกคนจะช่วยสอน แนะนำแล้วก็ให้กำลังใจ พอเราเล่นไม่ได้ก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เอาใหม่ จริงๆ เบทส์เคยคิดเหมือนกันเวลาดูทีวีแล้วคิดว่าถ้าเป็นเราเราจะทำได้ไหม เราคงทำได้ แต่พอมาทำจริงๆ แล้วก็ยาก มันไม่ใช่ง่ายๆ แต่ว่าพอทำได้เราก็โอเค แฮปปี้ค่ะ”

เบสท์ ในละคร กู้ภัยหัวใจสู้

“เรื่องกู้ภัยหัวใจสู้ แกนหลักๆ น่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเป็นแม่ ความเป็นลูก ความเป็นคนดีอะไรแบบนี้ สิ่งหนึ่งเลยคือความกตัญญู ตัวของขวัญเขารักทุกคนเลยที่เป็นครอบครัว เป็นคนรอบตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่เป็นตัวร้ายเขาก็รัก คือ มีแต่ความหวังดีให้กับคนอื่น เบสท์รู้สึกว่าตรงนี้เป็นตัวอย่างให้กับสังคมได้ เราไม่จำเป็นต้องทำร้ายใคร หรือคิดไม่ดีกับใคร เราทำแต่ความดี แล้วเราจะมีแต่ความสุข คือ ตัวของขวัญเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาเป็นนะคะ ต่อให้เขาจะลำบาก ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าต่อให้เราลำบากหรือโดนกลั่นแกล้งแต่เราก็ยังสามารถมีความสุขได้ อย่าท้อค่ะ”

ร่วมงานกับ ตงตง กฤษกร

“พี่ตงจะแนะนำเรื่องของกล้อง และบล็อกต่างๆ เป็นดารามันไม่ใช่แค่แอ็คติ้งนะทุกคน มันจะต้องเดินไปให้ถูกที่ ถูกจังหวะ เพื่อให้กล้องเขาจับเราได้ รับเราได้ พี่ตงก็จะบอกเราว่าต้องเดินยังไงให้ได้ ให้ผ่านนะ อะไรแบบนี้ค่ะ ตอนที่รับเล่นแล้วก็ตอนถ่ายแรกๆ เรายังไม่ได้คบกันค่ะ ไม่ได้สนิทกัน มาเจอกันเพราะมาเป็นพระเอก นางเอกด้วยกัน แต่ว่าพี่ตงเขาเฟรนด์ลี่อยู่แล้ว คุยกับทุกคน เราก็คุยกับทุกคนเหมือนกัน พอเฟรนด์ลี่กับเฟรนด์ลี่มาเจอกันมันก็เลยสนิทกัน การทำงานก็ราบรื่น เพราะพอสนิทกันมันจะก็จะไม่มีความกังวลอะไรค่ะ”

ฟีดแบคกลับมาดีมาก

“หนูก็แฮปปี้นะ เพราะละครตัดออกมาแล้วสนุก กระชับ ถามเราเราไม่เข้าข้างตัวเองก็มองตามจริงที่ดูก็คือสนุก เรื่องนี้ตอนดราม่าก็ดราม่าจริงๆ แต่ด้วยเรื่องมีความครบรส ทั้งดราม่า คอมมาดี้ มีผี มีสุนัขคุยกัน แฟนๆ ของเบสท์ที่รอชมเขาน่ารักมาก ทุกคนช่วยกันดู ช่วยกันปั่นมากในโซเชียล เบสท์ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยให้ละครมีกระแส ทำให้คนรู้จักละครมากขึ้น อยากให้ทุกคนดูจนจบเลยนะคะ บอกเลยว่าความพีคมีมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ช่วยกันเอาใจช่วยของขวัญว่าชีวิตเขาจะเป็นยังไง ขนาดเบสท์เล่นเองเบสท์ยังสงสารเขาเลย (หัวเราะ)”

วางแผนการทำงานทั้ง ยูทูบเบอร์และนักแสดงไว้ยังไงบ้าง?

“หนูก็อยากทำควบคู่กันนะ ทำยูทูบไปด้วย แล้วก็รับละครไปได้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าละครจะต้องพีคถึงขั้นเราต้องได้เล่นเป็นตัวนำ โด่งดังอะไรขนาดนั้น เรารู้สึกว่ามีอะไรที่เข้ามาเป็นโอกาส และเหมาะกับเรา ผู้ใหญ่เห็นว่าเหมาะเราก็เล่น แต่ก็ทำยูทูบไปคู่กัน”

จุดเริ่มต้นการเป็นยูทูบเบอร์

“ก็คือพ่อบอกให้ทำค่ะ พ่อรู้มาจากเพื่อนๆ ว่าทำยูทูบแล้วจะได้ตังค์ ตอนแรกเราก็ทำไม่เป็น พอมันเริ่มจากความไม่เป็น มันก็เหมือนทุกอย่างมาจากตัวเราเอง เหมือนเราสร้างมันขึ้นมากับมือ เพราะเราไม่ได้จ้างใคร ทำเองมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ เบสท์ว่าทุกคนที่เข้ามาตามเสท์ เขาตามด้วยความที่เป็นเบสท์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบความเป็นเบสท์ในบางมุมนะ แต่เขาก็ตามเพราะความเป็นเรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทิ้งความเป็นตัวเองเด็ดขาด” 

ถ้ามีคำถามว่าทำยังไงถึงจะทำยูทูบให้ประสบความสำเร็จเหมือนเบสท์ได้

“อันนี้หนูว่าเราต้องทำด้วยความสุข อย่าไปคาดหวังว่ามันได้ตังค์เยอะ หรือได้ยอดวิว เมื่อไหร่ที่เราไม่คาดหวัง เราแฮปปี้ ไม่เป็นไรไม่มีคนดูฉันก็ทำ ไม่ได้ตังค์ฉันก็ทำ อย่างงั้นแหละค่ะมันจะไปถึงเป้าหมายที่เราจะได้ ตอนแรกในใจหนูก็ไม่ได้ต้องงานเงินนะ เราทำเพราะว่าชอบ พอได้เงินแล้ว เราก็ เห้ย! ทำแล้วได้ตังค์อ่ะ พอได้ตังค์เยอะเราก็ทำอีกๆ มันเป็นไปตามสเต็ปของมัน แต่สำหรับบางคนในยุคใหม่มาแบบอย่างได้เงินเลย เอาลงคลิปแรกจะอยากได้เงินเลยมันไม่มีทางเป็นไปได้ ลงคลิปแรกจะให้ยอดวิวเป็นล้านมันไม่มีทางเป็นไปได้ อย่าไปคาดหวังขนาดนั้น ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ส่วนของเบสท์ตั้งแต่เริ่มใช้เวลาปีนึงมีคนตามประมาณล้านซัพค่ะ ของเบสท์ขึ้นประมาณปีละล้าน ทำมา 5 ปี ก็ 5 ล้านซัพ เบสท์อาจจะโชคดีด้วยที่ทำขึ้นมาเร็ว สมัยนั้นคู่แข่งน้อย ยังไม่มีใครทำเยอะขนาดนี้ เป็นเหมือนยุคแรกๆ เลยค่ะ”

เบสท์ รักษ์วนีย์

พาครอบครัวพ้นวิกฤตใหญ่ “ล้มละลาย” 

“ครอบครัวหนูไม่ใช่ครอบครัวที่หวานแบบมานั่งให้กำลังใจกันขนาดนั้น แต่ว่าเบสท์นี่แหละที่จะเป็นคนบอกทุกคนว่า ตัดออกเลยอะไรที่ไม่ดี เช่นบ้านจะโดนยึดก็ให้เขายึดไปเลย อย่าไปฝืนอย่าไปยื้ออะไรทั้งนั้น รถจะโดนยึดก็ยึดไปเลยไม่เป็นไร หนูบอกว่าทุกอย่างเริ่มใหม่ หนูบอกว่าหนูจะหาตังค์ให้ จะหาให้ได้เยอะที่สุดเพื่อให้ซื้อบ้านได้ ซื้อรถได้ เพื่อให้พ่อแม่สบาย แต่พ่อแม่ช่วยทิ้งอะไรที่เป็นอดีต ทิ้งทุกอย่าง อย่าไปเสียดาย เรามาเริ่มใหม่ ทุกคนก็โอเคเริ่มใหม่ จนมาถึงทุกวันนี้ค่ะ”

“อาจจะเพราะช่วงนั้นหนูทำยูทูบแล้วนะ หนูได้เงินจากยูทูบมาบ้างแล้วแต่ก็ไม่ได้เยอะขนาดทุกวันนี้ แต่เรารู้สึกว่ามันต้องเยอะได้สิถ้าเราตั้งใจ คือ หนูเป็นคนมั่นใจในตัวเองด้วย ก็บอกทุกคนว่าทิ้งไปเลย ไม่เป็นไรเอาใหม่ๆ แล้วก็บอกว่าเราทำได้แน่ รอดู เพราะเรามั่นใจในตัวเอง แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าทำได้ไหมตอนนั้นอ่ะ แต่แค่คิดว่ามันต้องได้ แล้วมันก็ค่อยๆ มา ไม่ไช่ได้เลยปุบปับ”

สภาพจิตใจมีความกังวลไหม?

“ไม่มีนะ ตอนนั้นพอเราโฟกัสที่จะหาเงิน เราจะสร้างทุกอย่าง ไปซื้อบ้าน ซื้อรถอะไรแบบนี้เราก็เลยไม่ได้โฟกัสกับปัญหาที่ว่า สังคมว่ายังไง คดีความเป็นยังไง หนี้สินเป็นยังไง เราไม่ได้โฟกัสขนาดนั้น เราแค่แบบ เดี๋ยวนะเราจะซื้อบ้านหลังนั้น จะซื้อรถคันนั้น เรามองที่เป้าหมาย พอเราได้มา เราก็หันไปมองว่า หนี้พ่อหมดหรือยัง แล้วบ้านหลังนั้น รถคันนั้นโอเคแล้วนะ จบแล้วนะพาร์ทนั้น แล้วเริ่มใหม่ตรงนี้นะ ค่อยๆ เคลียร์ไป”

“หนูเชื่อว่าพ่อก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นหรอก แต่พอมันเกิดขึ้นแล้ว เราครอบครัวเดียวกัน ถ้าเราไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย ไม่รู้สิ หนูรู้สึกว่าคนในครอบครัวนี่แหละที่จะช่วยเรา เราอย่าไปคาดหวังเพื่อน อย่าไปคาดหวังคนรู้จักเลย ครอบครัวคือที่สุดแล้ว”

“พอเราปลดหนี้ได้แล้วคุณพ่อเขาก็ไม่พูดอะไร เขาไม่ใช่คนหวาน เขาเป็นนักมวย (หัวเราะ) ไม่มีนะ ไม่มีชมเราหรืออะไร แต่เราดูแววตาเขาเราก็รู้แหละว่าเขาภูมิใจกับเรา เพราะว่าเขาจะพูดออกสื่อว่าเขาภูมิใจกับเรา เวลาเจอเพื่อนเขาก็จะอวด โม้มาก เราก็ดูออกว่าเขาภูมิใจ”

เป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย 

“ภูมิใจ ถ้าตอบความจริง ก็ยังบอกแม่อยู่เลยว่า “แม่.. อยากมีลูกแบบตัวเองอ่ะ อยากอายุ 40 แล้วนอนเฉยๆ แล้วลูกหาตังค์” (หัวเราะ) แม่ก็เลยบอกว่า “ฉันทำบุญเยอะ แกไม่ได้เหมือนฉันหรอก” เราก็คุยกันตลกๆ ก็ภูมิใจไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ค่ะ”

เบสท์และครอบครัว

“ถามว่าเหนื่อยไหมก็เหนื่อยแต่ความเหนื่อยอาจจะไม่ได้มาจากการทำงานหรอก แต่เป็นตรงที่เราไม่ได้ไปเที่ยว ใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนเพื่อน เราแบบมานั่งถ่ายคลิป มานั่งตัดคลิป ต้องรับผิดชอบเยอะค่ะ ค่าน้ำ ค่าไฟในบ้าน ค่าเน็ต ค่าโน่นค่านี่ ตีกันไปหมด เราก็อยากไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง ไปแฮงค์เอาท์บ้างก็ไม่ได้ไปเลย ช่วงนั้นก็จะเหนื่อยหน่อย แต่ก็ทำ (หัวเราะ)”

ขึ้นแท่นอายุน้อยร้อยล้าน

“ก็ไม่ได้รู้สึกยังไง ก็คือมันก็เป็นความโชคดีของเรา ที่ได้ทำยูทูบเร็ว ถ้าเราไม่ได้ทำตอนนั้นแล้วมาเริ่มทำตอนนี้อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จ อาจจะไม่ได้มีเงินขนาดนี้ ตอนนี้ก็พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีทุกอย่าง ชีวิตก็คือมีความสุขแล้ว มีบ้าน มีรถ มีเงิน ตอนนี้ก็คือทำหน้าที่ของเราแต่ละวัน ใช้ชีวิตแบบมีความสุข มันไม่ได้ง่ายนะตอนนั้นที่หนูทำ แต่ว่าหนูแค่ผ่านมันมาแล้วก็เลยมาพูดได้ มาแขร์ได้ แต่ถ้าเกิดว่าหนูยังมีคนตามเป็นศูนย์อยู่มันก็ยาก หนูผ่านมาแล้วด้วยแหละก็เลยพูดได้ เล่าให้ฟังได้”

ยังอยากสร้างความมั่นคงอะไรให้ชีวิตอีก

“หลักๆ เลยคือทุกอย่างที่มีต้องผ่อนให้หมด ให้ไม่มีหนี้เลย เคลียร์ให้หมด เงินเก็บที่มีก็ต้องมีให้ได้มากที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าตัวเราเองคนจะเบื่อตอนไหน หรือ คนจะเลิกจ้างงานตอนไหน เราอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ได้ อาชีพเรามันเปลี่ยนได้ตลอด เศรษฐกิจด้วย โรคระบาดด้วย ทุกอย่างมันเกิดได้ตลอด เพราะฉะนั้นต้องเก็บตังค์ให้ได้มากที่สุดอันนี้คือเป้าหมายที่คิดไว้เลย”

ภาพตัวเองในอนาคต

“ก็อยากไปอยู่เมืองนอก ไปเที่ยวเมืองนอกบ้าง ถ้ามีลูกก็คาดหวังเหมือนกัน คาดหวังจริงๆ ว่าถ้ามีลูกอยากมีลูกเหมือนตัวเอง ที่แบบว่าเราอายุสี่สิบ สี่สิบห้า แล้วลูกหาตังค์ได้ ก็อยากจะมีเหมือนตัวเองเหมือนกัน ถึงขั้นถามแม่เลยนะว่าแม่มีเบสท์ตอนอายุเท่าไหร่อ่ะ ก็รู้สึกว่าถ้าเรามีได้เราคงหายเหนื่อย ตอนนั้นลูกคงทำ”

“หนูว่าลูกต้องได้หนูแหละ ต้องเหมือนหนู (หัวเราะ) คิดไปก่อน ก็ไม่ได้ว่าจะให้ลูกหาเลี้ยง แต่เราจะซัพพอร์ตลูก ส่งลูกเรียนเต็มที่แต่ให้ลูกคิดได้แบบเรา ตั้งใจทำงาน หาเลี้ยงตัวเองให้ได้ก็พอ”

ฝ่ามรสุมคำบูลลี่ 

“ตอนแรกหนูไม่ได้โดนบูลลี่หนักเท่าไหร่ แต่พอเริ่มมีชื่อเสียงก็จะเริ่มหนัก ก็เข้าใจก่อนค่ะว่าเพราะอะไร บางอย่างที่เขาพูดมันก็ไม่จริงนะ หนูมองโลกตามความเป็นจริง ถ้าบางอย่างเขาบอกว่าเราโน่น นี่ นั่น แต่เราไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ไม่รู้จะเก็บมาคิดทำไม แต่ถามว่ามีนอยด์ มีรู้สึกแย่ไหม ทุกคนรู้สึก ไม่มีใครหรอก มนุษย์เราที่ชอบให้คนอื่นมาด่า แต่หนูก็ไม่รู้จะไปห้ามเขายังไง หรือ จะเปลี่ยนความคิดเขาได้ยังไง ก็ทำได้แค่ว่าปล่อย ทำได้แค่นั้นเลยค่ะ”

“ก็จะเป็นเรื่องคอมเมนต์นี่แหละ ที่แบบว่า ต้องด่าขนาดนี้เลยเหรอ เกลียดเราขนาดนี้เลยเหรอ หนูเคยอยู่ในจุดที่ติดตามดารา ติดตามคนดัง แต่ไม่เคยเกลียดใครถึงขั้นไปคอมเมนต์ด่าเขา ไปตามด่า ไปราวีเขา หรือเจอแล้วมองขวาง ไม่ชอบแล้วแสดงออก หนูไม่เคยเลยนะ ก็รู้สึกว่าก็ปล่อยเขาไป ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปดู ก็ไปดูคนที่ชอบ ก็เลยงงว่าคนที่ทำแบบนี้ต้องมีความคิดยังไงเหรอ เราอยากจะเข้าใจเขาด้วยซ้ำ อยากเข้าไปคุยกับเขาว่าแบบมันต้องคิดขนาดไหนวะถึงไปคอมเมนต์ด่าคนอื่นได้ มันต้องมีความคิดยังไง อยากรู้ค่ะ”

“เข้าใจแหละว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ทำงานในโซเชียลต้องโดนคอมเมนต์ว่าแต่ว่านั่นแหละอย่างที่บอกว่าอยากเข้าใจคนที่คอมเมนต์ด่าหนูว่าคุณมีความคิดยังไงถึงกล้าพิมพ์ เพราะเราไม่เคยกล้าพิมพ์ด่าใคร ก็เลยไม่เข้าใจ แต่ถ้าเราเข้าใจเราอาจจะไม่เจ็บเลยก็ได้”

เบสท์ รักษวนีย์

“พ่อกับแม่จะซีเรียสมากกว่าสมมติร้อยคอมเมนต์มีคอมเมนต์นึงมาว่าเบสท์อ้วน แม่ก็จะแบบ เบสท์..โดนด่าแล้วนะว่าอ้วน คือแม่จะเครียดกับทุกอย่าง”

“กำลังใจของเบสท์มาจากตัวเอง เราต้องฮีลตัวเอง คือ ต้องโดนกระทำเยอะๆ แล้วเราจะเข้มแข็ง อันนี้เรื่องจริงเลย (หัวเราะ) จะบอกว่าเราต้องเข้าใจโลก ต้องโน่นนี่นั่น มันไม่ได้ค่ะ มันต้องโดนก่อน โดนอยู่อย่างงั้นแหละ แล้วเราจะเข้าใจเอง”

แค่เป็นลูก “สมรักษ์ คำสิงห์” ก็ผิด?

“หนูโดนมาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่เป็น “ลูกสมรักษ์” เลย ก็พอเป็นลูกสมรักษ์ คนก็ว่าหยิ่งบ้าง ว่ามั่นหน้าบ้าง คือหนูเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง แล้วเพื่อนก็จะชอบว่าเรามั่น ก็จะมีบ้างคำแบบวัยรุ่นทั่วไปก็โดนมาหมดแหละ แล้วพอมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เป็นยูทูบเบอร์ก็โดนบ้าง พอยิ่งเข้ามาในวงการก็ยิ่งโดนหนักเข้าไปอีก แล้วโดนมาหมดแล้วก็ปลงไปนิดนึง”

“ถ้าตอนวัยรุ่นก็คือร้ายเหมือนกัน คือ ถ้าใครด่า ถ้าเพื่อนที่โรงเรียนด่าก็พร้อมมีเรื่อง แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มปล่อย ทุกวันนี้ก็ต้องปล่อยแล้วล่ะเพราะว่าคนด่าเยอะขึ้น จะไปมีเรื่องกับทุกคนไม่ได้ (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นคนใกล้ตัวจริงๆ แล้วมาด่าเราก็ไม่ยอมเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นในโซเชียลก็ต้องปล่อย”

ความรักก็มาพร้อมดราม่า 

“ใช่ ก็นั่นแหละ ก็จะโดนหนักมาก คือ หนูก่อนหน้านี้เป็นคนสบายๆ กับความรักมาก ไม่ชอบใครคนมายุ่งอะไรเยอะ ก็จะมีแค่เพื่อน ไม่ได้แบบทุกคนไปซะหมด หรือ ทั้งโรงเรียนอะไรขนาดนั้น แล้วพอมาคบกับพี่ตง โอ้โห! มาทั้งประเทศ แล้วหนูก็แบบอะไรวะเนี่ย แล้วบางทีด่าแบบ ด่าจนเรารู้สึกว่าเราทำอะไร อย่างบอกว่าเราอยากได้พี่เขา เราขี้อวด บอกว่าเราไม่เห็นสวยเลยไม่เหมาะสมแต่เราอยากได้พี่เขา ไปจับพี่เขาอะไรแบบนี้ เรารู้สึกว่าอันนี้ก็คือไม่ใช่แล้วมันทำให้เรารู้สึกนอยด์มาก แล้วรู้สึกไม่ดีกับพี่ตงด้วยนะ เพราะเรารู้สึกว่าเราโดนขนาดนี้เพราะพี่เขา เราก็รู้สึกไม่ดีกับเขาจนถึงขั้นบอกกับเขาเลยว่าไม่โอเคนะ แต่พี่เขาก็ไม่ได้ผิด พี่เขาก็เลยบอกว่าให้อดทนแล้วก็ให้สู้ ตอนนั้นเราก็สู้แต่สูแบบงอแง (หัวเราะ) คือเหนื่อย แต่ว่าก็ผ่านมาได้ค่ะ ทุกวันนี้ก็ดีขึ้น”

เบสท์ ตงตง

“ที่ผ่านมาได้ส่วนหนึ่งก็เพราะพี่ตงด้วยนะ เหมือนเขาสู้ด้วยแหละ เขาไม่ยอมเลย แบบไม่เลิก ไม่หยุด เขาบอกว่าต้องสู้ พอเขานำไปก่อน เขาสู้ไปก่อน เราอาจจะไม่สู้ก็จริง แต่สุดท้ายเราก็ต้องตามเขา เพราะเขานำไปเลยพูดทุกวันว่าสู้ จนเราต้องสู้ แต่เรามองว่าเราก็คือคนธรรมดาเราไม่สมควรโดนขนาดนี้ไหม เราคือมนุษย์เหมือนกัน เรามีหัวใจ ต่อให้คุณจะมาบอกว่าเป็นดาราก็ต้องโดน เป็นคนดังก็ต้องโดน แต่ว่าไม่ใช่อ่ะ ดาราก็คือคน มันไม่ควรโดนขนาดนี้ค่ะ”

“ด้วยความที่ตั้งแต่แรกพี่เขาชัดเจน ตั้งแต่แรกพูดไปแล้วว่า ชอบกันค่ะ ใช่ค่ะ คุยกัน อยู่ๆ วันนึงจะมาบอกว่าเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน เป็นเพื่อนร่วมงานกันมันก็ไม่ได้ เพราะเราชัดเจนตังแต่แรก ก็ต้องชัดเจนตลอด”

ขยับสถานะเป็น “แฟน” แล้วเป็นยังไงบ้าง?

“สถานะขยับขึ้นมาเป็นแฟนกันทุกอย่างก็เหมือนเดิม เพราะพอคุยกัน ความรัก ความเข้าใจมันมีตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว พอเป็นแฟนกันมันก็แค่สถานะว่าแฟน แต่ว่าสิ่งที่เป็นอยู่หรือนิสัยเราก็เหมือนเดิมค่ะ”

“เราสองคนมันก็มีที่ทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง เหมือนคู่รักทั่วไป มันต้องมีอยู่แล้ว ถามว่าปรับไหมก็ไม่ได้ต้องปรับขนาดนั้น เราก็ต้องเป็นตัวของตัวเอง พี่เขาก็ต้องเป็นตัวเขาเอง ต้องประคับประคองไปให้ได้ อภัยกัน”

คะแนนความคลั่งรักเต็ม 10 ไม่หัก

“ก็รักนะ เต็ม 10 ก็ 10 (หัวเราะ) ก็รัก ไม่รู้สิ หนูว่าก็ปกติเหมือนคนรักกันทั่วไป”

“หนูไม่ค่อยหึง ก็เข้าใจได้นะถ้าทำงาน แต่ถ้าอะไรที่เกินไปก็จะบอกว่ามันไม่ควร คือ เราไม่ได้หึงหรอกแค่รู้สึกว่าต้องให้เกียรติเรา เพราะเราค่อนข้างให้เกียรติพี่เขามากๆ เวลาเราร่วมงานกับผู้ชายคนไหนเราก็ไม่ได้เข้าไปเล่นหรือเข้าไปอะไร เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องให้เกียรติเราเหมือนกัน”

“พี่ตงเขาจะเป็นคนไม่ชอบให้แฟนแต่งตัวโป๊ อันนี้คือเขาชัดเจนตั้งแต่แรก ก็ห้ามได้ เพราะหนูรู้สึกว่าไม่ได้หนักหนาอะไร ก็แต่งให้ดีขึ้น มิดชิดขึ้น แต่ถ้ามีเคสที่เราอยากใส่ก็ไปขอเขาดีๆ เขาก็ให้ ก็คุยกันได้ค่ะ”

คาดหวังกับเรื่องรักไหม?

“คาดหวังค่ะ มันไม่มีใครไม่คาดหวัง ทุกคนคาดหวังแหละว่าอยากให้ไปถึงแต่งงาน อยากมีลูก อยากมีครอบครัว แต่แค่ไม่ได้ไปพูดหรือบอกเขาเพื่อให้เขากดดัน แต่เราก็คาดหวังเราก็อยากโตขึ้น อยากคบกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง ไม่เคยถามเลย ก็รู้สึกว่าคบกันแบบนี้ไปก่อน ถ้าถึงจุดนึงที่อายุเราเยอะแล้ว พี่เขาก็อายุเยอะแล้วก็ค่อยคุยกันก็ได้ สุดท้ายเราไม่รู้หรอกว่าเป็นคนนี้หรือเปล่า แต่ตอนนี้เราคบคนนี้อยู่ก็คาดหวังกับเขา”

ฝากถึงแฟนๆ ที่คอยซัพพอร์ตเราเสมอ

“ก็ขอบคุณค่ะขอบคุณทุกคนที่ติดตามหนูมาตั้งแต่แรกจนตอนนี้หนูได้เล่นละคร แล้วก็มีอีกหลายกลุ่มมาก เบสท์ขอบคุณทุกคนเลยค่ะที่ติดตามนะคะ อยากให้ติดตามกันแบบนี้ไปนานๆ นะคะ หนูจะพยามทำผลงานให้ดี และพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นในทุกๆ ด้าน ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ค่ะ”