“ต่อ ธนภพ” เปิดที่แรก! เผชิญโรคแพนิค ต้องพึ่งจิตแพทย์ 9 ปี ทุ่มสุดตัวทุกโอกาส

 โลดแล่นในวงการบันเทิงตั้งแต่วัยฮอร์โมนจนตอนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว สำหรับพระเอกหนุ่มฝีมือดี ต่อ-ธนภพ  ลีรัตนขจร หนุ่มฮอตที่คว้าหัวใจแฟนๆ มาครองจากหลากหลายผลงานที่สร้างสรรค์ไว้ตลอดหลายปี อย่างล่าสุด ต่อ ก็เจอความท้าทายใหม่ในละครปราบเซียน “ใต้หล้า” ละครน้ำดีทางช่อง ONE 31 ที่รายล้อมไปด้วยนักแสดงฝีมือขั้นเทพล้นจอ ออนแอร์ไม่กี่ตอนก็ทำเอากระแสพุ่งไม่หยุด

และวันนี้ มีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับ ต่อ พระเอกที่ฝีมือดีขึ้นทุกวัน เลยพลาดไม่ได้ต้องให้เจ้าตัวเผยภึงละครเรื่องล่าสุดนี้ พร้อมกับเรื่องราวการใช้ชีวิตกับวงการบันเทิงตลอด 9 ปี ที่ผ่านมา เผยที่แรกกับอาการป่วยโรค “แพนิค” ต้องพบจิตแพทย์เพื่อรักษา และมุมมองการใช้ชีวิตที่เจ้าตัวบอกอย่างมั่นใจว่าที่ผ่านมาเต็มที่กับทุกโอกาสที่ได้รับ 

“ใต้หล้าละครดราม่า ฟอร์มยักษ์ ที่พลาดไม่ได้

“ผม ต่อ-ธนภพ  ลีรัตนขจร รับบท “ใต้หล้า” ละครเรื่องนี้จะเล่าตั้งแต่ใต้หล้าวัยเด็กจนถึงโตเลย ใต้หล้าเขาเป็นเด็กที่เติบโตในครอบครัวฐานะปานกลาง เขาเป็นคนที่รักครอบครัวตัวเองมาก ทุกอย่างครอบครัวต้องมาก่อน มีอะไรก็อยากให้คนในครอบครัวเราได้ก่อน นิสัยของเขาก็จะมีความใจร้อนในช่วงเด็ก เหมือยเด็กทั่วไป มีคิดได้บ้างไม่ได้บ้าง ผ่านการทำถูกบ้าง ทำผิดบ้าง ผ่านมรสุมชีวิต ในเรื่องก็จะมีความเปลี่ยนไปของใต้หล้าในแต่ละช่วงวัยครับ”

ซีนดราม่า อารมณ์ มาเต็ม ทำงานบ้านสำหรับเรื่องนี้หนักไหม?

“ก็ พยายามทำเต็มที่ครับ เต็มที่ที่สุดเท่าที่ไหว ผมว่าเป็นความโชคดีที่เรื่องนี้ดีมาตั้งแต่พี่เจี๊ยบ (วรรธนา วีรยวรรธน)  ที่เขียนบทได้แข็งแรงมากๆ ตอนที่เราพัฒนาตัวละครก็เลยทำได้โดยไม่ค่อยติดขัด บางครั้งบทมาแล้วภาพในบทไม่ชัดมันอาจจะทำให้เราตีความผิด แต่เรื่องนี้บทมันชัดมาก แล้วบวกกับมาเจอพี่สันต์ (สันต์ ศรีแก้วหล่อ) ผู้กำกับที่อินกับเรื่องนี้มากๆ เขาก็ค่อนข้างใส่ใจนักแสดงทุกคน แล้วก็เป็นกองถ่ายที่ผมสนุก เล่นมันส์ บวกกัยได้เจอพี่ๆ นักแสดงที่ผมปลื้มทุกคนเลย เป็นเกียรติมากครับ”

ภาพจากละครใต้หล้า

รายชื่อนักแสดงโหดมาก มีแต่ระดับครูของวงการ การร่วมงานกันเป็นยังไงบ้าง?

“ก็ต้องขอบคุณที่มาแบกเรา (หัวเราะ) จริงๆ นะ ได้ระดับอาจารย์ เทพมาก ไม่ผิดหวังเลยสักคน ได้เข้าซีนด้วยกันจริงๆ คือ เขาไม่ได้สอนเราเลยนะครับ แต่สิ่งที่เขาทำให้เราเห็น ทำให้เราได้ซึมซับเยอะมากๆ ความมืออาชีพต่างๆ มันดีมาก แล้วก็ทุกคนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง”

“ถามว่าเกร็งไหม เอาจริงๆ นะ เวลาก่อนจะเริ่มละคร มันจะมีผังตัวละคร เราจะแปะไว้ว่าเรื่องนี้นักแสดงจะประมาณนี้ ซึ่ง นี่เป็นเรื่องแรกและเป็นครั้งแรกที่ผังที่วางหรือหวังใจไว้ว่าจะได้แบบนี้ คือ มาทุกคน ตอนแรกเราจะวางไว้ว่า อันนี้เหมาะ แต่ก็เผื่อไว้ เผื่อใจไว้หน่อย พอออกมาแบบนี้มีแต่คำว่าขอบคุณเลยครับ ที่พวกพี่เขาให้เกียรติมาร่วมงานกับเรา”

กว่าจะได้ “ใต้หล้า” ในแบบที่พอดีใช้เวลานานเหมือนกันใช่ไหม?

“พัฒนาบทนานครับ เราเดเวลอปกับ เวิร์คชอปกันช่วงที่เราล็อกดาวน์ 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วเวลาที่เราใช้วิกฤตเป็นโอกาสให้เราทำการบ้านหนักขึ้น และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเยอะ”

“ผมว่าข้อดีของโปรเจ็กต์นี้ก็คือ พี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) พี่เจี๊ยบ คนเขียนบท พี่สันต์ ผู้กำกับ ทั้ง 3 คนนี้ พร้อมที่จะฟังนักแสดงทุกคน เป็นบทที่พร้อมสำหรับการพัฒนาให้ดีขึ้น แล้วโชคดีคือ ผมรู้สึกว่าพวกเขาเก่งกว่าเรามากๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าบางอย่างที่เราเคยดูมาแล้วคิดว่ามันเวิร์คเหมาะที่จะอยู่ในโปรเจ็กต์เราได้ เราก็ลองโยนไปก่อน ถ้ามีคนซื้อมากพอ ก็จะถูกนำไปพัฒนาต่อ ผมเชื่อว่าทุกคนที่ทำโปรเจ็กต์นี้เราอินไม่แพ้กัน และเวิร์คชอปเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่ทำให้เคมีที่ตอนแรกเรารู้สึกว่ามันน่าจะเกิดขึ้นยากมันเกิดขึ้นได้ และสนุก รวมทั้งมีความทีมเวิร์คสูงมาก”

เรื่องนี้จะสื่อให้ผู้ชมได้เห็นอะไรบ้าง?

“ผมว่าแรกๆ เลยคือ อย่าตัดสินคนอื่น เราเริ่มต้นจากพื้นฐานความเป็นจริงก่อนว่ามนุษย์เราไม่มีคนดีจริงๆ หรอก แล้วคนที่เลวจริงๆ ก็ไม่ควรไปตัดสินเขา ว่าเขาจะเลวแบบ เลว! อะไรแบบนี้ เพราะผมรู้สึกว่า ค่าความเป็นมนุษย์ของคนมันเทาเหมือนๆ กัน แต่เราแค่เทาคนละเฉด บางคนเทาอ่อน บางคนเทาเข้ม ทุกรูปแบบมีหมด หรือ ขั้นต่อไปที่มากกว่านั้นคือ เมื่อรู้แล้วว่าคนเรามีทั้งด้านดีและไม่ดี ทุกคนควรจะหัดยอมรับตัวเอง และคนเรา เราเป็นมนุษย์ เราไม่ใช่หุ่นยนต์ ไม่ใช่ AI เราไม่ได้จำเป็นต้องถูกต้องเสมอ คนเราผิด ยอมรับผิด ได้ และจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนอยากได้โอกาส”

ภาพจากละคร ใต้หล้า

“และเรื่องนี้ผมว่าเรากำลังจะพูดถึงสิ่งนี้แหละ ว่าทุกคนควรได้โอกาส แต่แค่โอกาสมันไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน และโอกาสจริงๆ ที่มันควรจะเป็น คือ คนที่ได้โอกาสไปแล้วควรใช้มันอย่างเต็มที่ผมว่ามันเท่านี้จริงๆ เพราะผมรู้สึกเหมือนว่าจริงๆ แล้ว ทุกวันนี้คนเราได้รับโอกาสไม่เท่ากัน ซึ่งเราก็แค่ยอมรับไงว่า ถูกแล้ว ได้โอกาสไม่เท่ากันหรอก แต่หมายถึงว่า มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ว่าเรามานั่งพูดกันว่าเพราะใครได้หรือไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วก่อนที่คนคนนึงจะประสบความสำเร็จขึ้นมา ผมเชื่อมั่นเสมอว่าคนที่จะประสบความสำเร็จขึ้นมา คือ เขาได้รับโอกาสและเขาใช้มันอย่างคุ้มค่า และเขาไม่ได้มองว่าโอกาสนี้เป็นของเล่น”

“จริงๆ อยากฝากเรื่องใต้หล้าไว้ด้วยนะครับ ทุกวัน พ-พฤ 20.20น. ช่อง ONE31 ที่พูดแบบนี้เพราะอยากให้ดูสด (ยิ้ม) แต่ถ้าใครดูสดไม่ได้ก็อยากฝากว่า โหลดแอป oneD ไว้ ได้ทั้งดูสดและดูย้อนหลังด้วย เป็นโปรเจ็กต์ที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาด อยากให้ทุกคนมาให้กำลังใจพวกเราด้วยนะครับ ทั้งทีมนักแสดง คนทำงานต่างๆ หวังว่าจะมอบความสนุกให้กับทุกคนได้ไม่มากก็น้อย อยากมอบความสุขให้ทุกคนครับ”

9 ปีแล้วกับวงการบันเทิง

“จะว่าผมแก่เหรอ (หัวเราะ) ก็โตขึ้นมากจริงๆ ครับ แล้วก็ความคิดก็โตขึ้นไม่ได้เป็นเหมือนตอนเด็ก ทิศทางชัดเจนขึ้น รู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร รู้ว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร”

มีเป้าหมายที่อยากไปให้ถึงแล้ว

“จริงๆ มีครับ ก็ต้องยอมรับว่ามันมี แต่มันก็แบบไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเอามาโชว์กันไง (ยิ้มเขิน) จริงๆ เพราะว่าพูดเรื่องนี้อยู่เสมอ แต่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพูดกับใครเลยในเรื่องของรายละเอียด แต่ว่จริงๆ มีเป้าหมายชีวิตตัวเอง เพราะ 28 แล้ว มันเลี่ยงไม่ได้ จะบอกว่าชีวิตนี้เราไม่มีเส้นชัยเหรอ พูดยาก ทุกคนมีเส้นชัยหมด แต่เราไม่พร้อมพูดในวันที่เราไม่พร้อมพูดในวันที่เรายังทำไม่ได้”

ผมเชื่อผู้ใหญ่นะ ที่เขาพูดเสมอว่าอาชีพนี้ไม่มั่นคง แต่ผมดื้อ เพราะผมรู้สึกว่า โอเค ผมเชื่อว่าอาชีพนี้ไม่มั่นคง แต่ทุกวันนี้ที่ทำอยู่ คือ ทำยังไงก็ได้ให้อาชีพนี้มันมั่นคง เพราะมีความเชื่อลึกๆ ว่ามันต้องได้สิ มันควรจะได้ ผมเรียกว่ามันคือความพยายามมากกว่า เพราะจริงๆ เรารู้ความจริงอยู่แล้ว หรือ แม้แต่กระทั่งผมทำงานมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมเห็นกราฟตัวเองตลอดเวลา รู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างมันไม่ได้เสถียรขนาดนั้นและผมว่าไม่ใช่แค่อาชีพนี้ แม้แต่อาชีพอื่นมันก็มีวันหมดอายุของมัน ไม่งั้นคนเราจะเกษียณทำไม ผมแค่กำลังเปรียบว่านี่คือหนึ่งอาชีพไม่ได้ต่างกับอาชีพอื่น หรือ เราไม่ได้หาเงินได้มากกว่าอาชีพอื่นนะเมื่อเทียบกับงานที่เราทำ หมายถึงมันอาจจะมีงานอีกหลายส่วนที่คนดูไม่เห็นว่าเราทำ เบื้องหน้ากับเบื้องหลังมันเหนื่อยเหมือนกันแต่มันแค่เหนื่อยต่างกัน”

ต่อ ธนภพ

“มันไม่ง่ายนะ พวกผมทำงานอยู่กับคำว่าความรู้สึก อารมณ์ ซึ่งมันเคมีในสมองทั้งนั้นเลย ถึงจุดนึงมันก็มีหลายๆ คน หรือ อย่างผมเองสุดท้ายก็ต้องมีการพบจิตแพทย์อันนี้ยอมรับตรงๆ เลย เพราะว่าเราสวิงกับความรู้สึกเรามากจริงๆ ในแต่ละวัน”

 ถึงจุดรับมือไม่ได้ต้องพบจิตแพทย์

ถ้าเปิดเผยที่นี่ที่แรกก็คือ ทุกวันนี้ก็เป็นแพนิค แต่ไม่หนัก ผมไม่รู้หรอกว่ามันจัดการยังไงผมก็แค่ทำตามคำแนะนำของแพทย์ว่ามันควรยังไง แล้วก็ไม่ได้อยู่ในขั้นที่ต้องใช้ยาอะไร สุดท้ายแล้ว เส้นทางที่ผมพยายามเลือกว่าเราไม่ใช้ตัวเองเล่น เราพยายามแยกตัวเองให้ชัดว่าชีวิตเราอยู่ตรงไหน ผมหวงสิ่งนี้นี่แหละ ว่าผมอยากทำงาน ผมอยากสร้างความสุขให้ทุกคน แต่ผมไม่ได้อยากสูญเสียความเป็นตัวเอง เพราะมันก็มีช่วงชีวิตที่ผมหลงไป หลงคาแร็กเตอร์ไปบ้างอะไรบ้าง คือ ต่อให้วันนี้แยกได้ มันก็ยังหลงนะ แต่มันแค่อย่างน้อยเรารู้ว่าตัวเราอยู่ไหน แต่ถามว่าเราไม่ติดได้เหรอ ไม่ได้หรอก เราอยู่กับบทบทนึงมันไม่ใช่แค่ 4 เดือน 6 เดือนที่เราถ่ายนะ มันมีก่อนหน้านั้นอีกล่ะ ที่เราเตรียมงานเราก็ต้องเริ่มอยู่กับเขาแล้ว จนถึงโปรโมท อย่างที่เราคุยกันอยู่เนี้ย คิดว่าผมทิ้งใต้หล้าได้เหรอ ผมทิ้งไม่ได้ ผมยังต้องใช้เขาอยู่ ก็ปกติ แค่ต้องยอมรับมันว่าโอเค ถ้าเป็นก็รักษา”

เรียกว่าทุกอย่างยังอยู่ในความควบคุมของเรา ที่จะไม่ให้กระทบกับชีวิต

“ไม่กล้าพูดขนาดนั้น (หัวเราะ) ไม่แน่ใจ อาจจะมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่ให้กระทบน้อยที่สุดแล้วกัน เลี่ยงไม่ได้ว่ามันจะไม่กระทบครับ”

ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการ คิดไหมว่าจะอยู่นานขนาดนี้?

“ไม่เคยคิดเลยครับ เพราะไม่เคยตั้งว่าจะอยู่นานขนาดไหน สิ่งเดียวที่คิดคือเราอยากอยู่นานที่สุด และเราอยากไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เราไปได้ แล้วก็ในวันนี้ถ้าเรายังมีแรงอยู่ ผมไม่ได้อยากเดินอยู่กับที่ ผมอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ อยากเก่งขึ้นแบบที่เราเห็นคนอื่นเขาเก่งกัน อยากอยู่ในงานที่ดี มันยังมีความกระหาย โดยที่เรารู้ว่าเรายังไหว เรารู้ว่าต่อไปจากนี้อีกไม่กี่ปีเราก็จะไม่ไหวแล้ว เราแค่ทำเวลาตรงนี้ถึงวันที่หมดเวลาที่เราก็ไม่รู้ว่าใครกำหนดให้มันคุ้มค่า”

“เพราะวันนึงสุดท้ายแล้ว ถามว่าผมจะอยู่ตรงนี้ไปตลอดได้เหรอ ไม่ได้หรอก ถึงวันนึงเราทุกคนก็ต้องเดินไปก้าวอืนๆ ของตัวเอง ใส่เต็มอยู่ แรงยังไหว (หัวเราะ)”

มีอะไรในตัวเองที่อยากปรับปรุงแก้ไข

“เยอะแยะมากมาย เช่น ตื่นยากอ่ะ จริงๆ ปัญหาดูเด็กมากนะ แต่ด้วยอายุเท่านี้ และเรารักษาบางอย่างอยู่ ทานยาที่ทำให้หลับ โอ้โห! คนตื่นยากอ่ะ กินยาที่ทำให้หลับ กิน 5 ตัว (หัวเราะ) มันยากมาก”

“แล้วก็ผมว่าเรื่องการประเมินความเสี่ยงของตัวเองนี่แหละ ด้วยความที่เราเล่นแล้วเราไม่เคยยั้งเลย จริงๆ ก็มีอุบัติเหตุบ่อย อย่างซีนบู๊ก็เกิดอุบัติเหตุที่ไม่ควรต้องเกิดอะไรแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ผมควรต้องคอนโทรลตัวเองให้ได้ว่า ถ้าเลี่ยงความเต็มที่ไม่ได้ผมต้องเซฟตัวเองให้ได้ เพราะตอนนี้ผมทำไม่ได้ทั้งคู่ (หัวเราะ) หรืออย่างในกองชอบทำของพังอันนี้ก็เป็นปัญหานะ รู้แหละว่าเต็มที่ แต่บางทีเราไม่ได้ยั้งจริงๆ”

ต่อ ธนภพ

“แล้วก็เรื่องอยากใช้ชีวิตให้มากขึ้น อยากกลับมาใช้ชีวิตปกติเยอะๆ เพราะเริ่มรู้สึกว่าสุดท้ายแล้ว  8 ปี เต็มๆ ที่ผ่านมาผมไม่ได้พักเลย สุดท้ายแล้วอาชีพผมมันใช้ปัจจัยจากชีวิตปกติ พอผมไม่ได้ใช้ชีวิต พอถึงจุดนึงมันก็เหือด ก็เริ่มหาเวลาว่าต้องเริ่มใช้ชีวิต ต้องเติมอะไร ต้องออกไปเดินทาง ออกไปเจอผู้คน ต้องหาอะไรใส่ใหม่ๆ แล้ว อะไรแบบนี้ครับ”

 การปรับตัวกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทุกวันนี้

“จริงๆ ก็ได้คิดหลายๆ อย่าง ผมว่ายุคโควิดทำให้ผมเปลี่ยนความคิดหลายอย่าง ความไม่แน่นอนหลายๆ อย่าง เราเคยได้ยินแค่พ่อแม่เราเขาเคยผ่านช่วงวิกฤตมา แต่เราไม่เคยไง เนี้ยเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่า อ๋อ.. นี่คือ วิกฤตเหรอ เห้ย มันลำบากขนาดนี้เลยเหรอ ผมพูดตรงๆ เลยว่า ไม่โลกสวยหรอก แม้แต่ตัวผมน่ะ ผมไม่ได้สบายนะ มันพูดยาก สุดท้ายมันต้องปรับตัวจริงๆ และทางเดียวที่ทำได้คือต้องเห็นวิกฤตเป็นโอกาส และเรารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ทุกคนที่หาเจอ ผมก็เป็นหนึ่งคนที่พยายามทำแต่ก็ยังไม่เจอ แต่ผมแค่ไม่หยุดเพราะรู้สึกว่าถ้าผมหยุดผมไม่เจอแน่ แต่ถ้าผมไม่หยุด หวยอาจจะออกที่ผมก็ได้แค่นั้นเอง”

ผมคือคนที่พยายามทำตัวเองให้พร้อมสำหรับโอกาส เพราะผมเชื่อว่าโอกาสแต่ละโอกาสมันไม่ได้เหมาะกับเราเสมอ เพราะว่าทุกโอกาสเวลาผมคว้า ถ้าผมเลือกแล้วผมจะพยายามทำให้มันคุ้ม ทำให้มันสนุกที่สุด เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วแปลว่าผมไม่ได้คว้าทุกโอกาสนะ ผมผ่านการดูแล้วว่า โอกาสนี้มันมีชื่อลางๆ ของ ธนภพ อยู่หรือเปล่าอะไรแบบนี้ เชื่อเสมอว่าเราคงไม่ได้เหมาะกับทุกอย่างบนโลกหรอก แต่มันต้องมีสักอย่างสิงที่เหมาะกับเรา”

“ผมพูดเสมอว่า ผมไม่ได้พูดเล่นว่าผมไม่ได้เก่ง ผมเก่งเพราะคนรอบข้างผมเก่ง แค่นั้น อย่างเรื่องใต้หล้า ทำไมผมถึงพูดได้เต็มปากว่าขอบคุณพี่ผู้ใหญ่ ที่มาแบกผม เพราะเขาเก่งถึงขั้นแบบว่า เก่งจนเราไม่เก่งไม่ได้อ่ะ  ผมแค่โชคดีมั้งครับ ที่เวลาเราเต็มที่แล้ว เราได้งานที่ได้เจอคนที่ดี โชคดีของผมคือ ผมยังไม่เคยเจอทีมที่ไม่ดีเลยตั้งแต่ทำงานมา หรือแม้กระทั่งการเจอพี่ๆ สื่อ ก็โชคดีของผมนะ ผมไม่เคยเจอพี่ๆ สื่อที่ไม่ดีเลย”

แผนการกลับมาใช้ชีวิตหลังจากทำงานหนักมาก 8 ปี

“จะพยายามวางคิวตัวเองให้ชัดเจนมากขึ้น ผมรู้สึกแล้วเหมือนกันว่าผมต้องให้เวลาครอบครัวตัวเองมากกว่านี้แล้ว เพราะว่าผม 28 แล้ว ป๊า กับ แม่ผมล่ะ พูดตรงๆ แล้วเวลาเขาอยู่ไหน สุดท้ายแล้ว เราเลือกสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่รักแฟนๆ เรานะ แต่ถ้าจะพูดเรื่องนี้ก็ต้องอธิบายให้ชัดเจน เพราะสุดท้ายแล้วมันยังมีชีวิตอีก เช่น เพื่อนผมล่ะ อย่างอื่นอีกล่ะ มันเยอะมากเลย บางครั้งคิดว่าเวลาผมทำงานอยู่แล้วผมเห็นตามโซเชียลต่างๆ เวลาผมเห็นคนอื่นกับเพื่อน คนไปนั่นไปนี้ ผมไม่อิจฉาเหรอ เห้ย มันมี มันก็มีความรู้สึกนั้น เราก็อยากทำบ้าง แต่มันต้องแลกแหละครับ อาชีพนี้ไม่ใช่ได้มาฟรีๆ ผมรู้เสมอว่ามันต้องแลก ผมรู้สึกว่าสิ่งที่แลกมันไม่ได้ไม่มีลิมิตนะ สิ่งที่แลกมันมีลิมิตแต่แค่ทุกคนต้องเข้าใจให้ตรงกัน”

อย่างที่บอกว่าอาชีพนี้มันมีวันหมดเวลา เราคิดเรื่องนี้ไหม

“คิดอยู่ตลอดเลยครับ จริงๆ ผมว่ามันต้องยอมรับจริงๆ เลยว่ามันควรคิดอยู่เสมอเพราะมันเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่อยากโกหกไงว่า ยังเลยครับ ผมคงไม่พูดแบบนั้น”

ความคิดถึงที่อยากส่งถึงแฟนๆ 

“ที่สุดแห่งความคิดถึงครับ มันตั้งแต่ประเทศเราปิด แฟนต่างประเทศก็ไม่ได้เจอละ โซเชียลก็เล่นงงๆ ไม่ได้เก่งเหมือนคนอื่นเขา ผมก็อยากให้รู้ว่าทุกวันนี้ผมพยายามที่สุดแล้วนะ ผมพยายามเข้าหาแฟนคลับมากๆ เลย คือ นิสัยผม เวลาผมเข้าสู่โปรเจ็กต์อะไรสักอย่างแล้ว ผมจะทุ่มให้มันหมดเลย เพราะผมรู้สึกว่าเนี้ยเป็นรูปธรรมเดียวที่แฟนๆ จะได้เห็นว่าผมเต็มที่เพื่อพวกเขาอยู่ ที่ผ่านมาการแสดงทุกชิ้นที่ผมพยายามเต็มที่ที่สุดเท่าที่เราไหว เพราะผมอยากให้เขารู้ว่าเต็มที่ เรารู้ว่าเขารอ อยากให้เขารู้สึกภูมิใจเวลาเขาพูดว่าเขาตามเรา ผมอาจจะไม่ได้มานั่งเสิร์ฟเก่ง หรือ ไม่ได้มานั่งบอกรัก แสดงออกอะไรมากมาย”

ต่อ ธนภพ

“ช่วงนี้ก็มี one for the road เข้า NETFLIX เอเชียแล้ว ฝากด้วย สำหรับใครที่พลาดในโรงภาพยนตร์ หรือใครติดใจแล้วอยากซ้ำ ตอนนี้เต็มที่เลย แล้วก็ ใต้หล้าถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ถ้าอยากดูสดก็ พ-พฤ 20.20 น. ทางช่อง ONE31 ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็กดโหลดแอป oneD มาหน่อย เพราะไม่ได้มีแค่ ใต้หล้า อย่างเดียว แต่จะมีผลงานของผมจากนาดาวมาด้วยทุกเรื่องเลย  แล้วก็ฝากความคิดถึง ถึงคนดูทุกคนด้วยครับ”