“ฌอห์ณ จินดาโชติ” ชีวิตยุคโควิดกับธุรกิจล้นมือ เปิดมุมรักหวาน แพลนแต่งงาน

หากพูดถึงนักแสดงหนุ่มขวัญใจแฟนๆ ที่ฝีมือถูกตาต้องใจจนได้รับตำแหน่ง “สามีแห่งชาติ” หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อนักแสดงคุณภาพอย่าง ฌอห์ณ จินดาโชติ ที่ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงและโลดแล่นบนเส้นทางนี้มาถึง 15 ปี ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงที่พัฒนาทุกด้านทั้งเรื่องฝีมือและเรื่องมุมมองการใช้ชีวิต

และล่าสุดหนุ่ม ฌอห์ณ กำลังทำให้แฟนละครใจละลายไปกับละครฟอร์มยักษ์ “สิเน่หาส่าหรี” ทางช่อง ONE31 ประกบคู่นางเอกสาวสุดฮอต ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ร่วมกับนักแสดงมากฝีมืออีกคับจอ ทำเอาแฟนๆ ติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง

งานนี้ พลาดไม่ได้ขอคว้าตัวหนุ่ม ฌอห์ณ มานั่งพูดคุยกันถึงผลงานชิ้นนี้ พร้อมกับอัปเดตเรื่องราวชีวิต ห่างหายจากหน้าจอไปลุยงานเบื้องหลัง และ ทำธุรกิจอีกหลายตัวในช่วงโควิดแบบนี้

พร้อมกับเปิดหมดเปลือกเรื่องราวความรักกับสาวดีไซเนอร์คนเก่ง ที่รักลงตัว หวานไม่แผ่วแบบนี้จะมีข่าวดีหรือยัง

นักแสดงหนุ่มสามีแห่งชาติ ครั้งนี้มาสวมบท “เจ้าชายกีริช” ผู้เคร่งขรึม เล่าให้ฟังถึงการทำงานครั้งนี้ที่รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก และชื่นชอบบทประพันธ์เรื่องนี้เป็นทุนอยู่แล้ว

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ที่ได้ร่วมโปรเจ็กต์นี้กับทางช่อง ONE31 เป็นโปรเจ็กต์ที่วางมายาวนานพอสมควร มีการทาบทามมา 4-5 ปี ทางโปรดักชั่นมีการเตรียมการมาก่อน 2-3 ปี ตอนแรกจะถ่ายที่อินเดีย แต่ว่าติดสถานการณ์โควิด เลยต้องกลับมาวางแผนกันใหม่ ใช้เวลาทำงาน 2 ปี รวมการถ่ายทำด้วย ผมว่าด้วยบทที่ดี ที่ได้พี่เจี๊ยบ วรรธนา ได้บทประพันธ์ของคุณหมอ พงศกร ได้ผู้จัดของช่องวัน และแคสนักแสดงที่แน่นมากๆ ทำให้ผมรู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกโชคดีมากๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้อ่านบทประพันธ์มาก่อนแล้วและชื่นชอบมากๆ ยิ่งรู้ว่าแคสนักแสดงฟูลทีม ยิ่งทำให้ผมอยากร่วมงาน มีความกระตือรือร้นมาก”

ภาพจากละคร สิเน่หาส่าหรี

“อย่างที่บอกว่าผมชอบบทประพันธ์เรื่องนี้ อ่านแล้วแอบคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นละครใครจะได้เล่นเรื่องนี้ เพราะผมเองเคยเล่นละครที่เป็นบทประพันธ์ของคุณหมอ พงศกร มาเรื่องนึง คือ เรื่องลูกไม้ลายสนธยา โอกาสมันยากมากที่เราจะได้เล่นซ้ำ เพราะเป็นซีรีส์ผ้าเหมือนกันด้วย ผมอ่านเรื่องสิเน่หาส่าหรี่ก่อนลูกไม้ลายสนธยาด้วย แล้วรู้สึกว่าบท เจ้าชาย กีริช เป็นบทที่มิติเยอะ ส่วนตัวเราเป็นคนชื่นชอบอินเดีย ไปอินเดียบ่อย เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก พอได้รับการติดต่อมาก็ดีใจ ไม่ต้องอ่านบทอะไรเยอะเลยเพราะเราจำได้ แล้วพอมารู้ว่า “นวลเนื้อแก้ว” คือ น้องใบเฟิร์น ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นครับ”

ความต่างและความเหมือน ระหว่าง “เจ้าชายกีริช” และ “ฌอห์ณ”

“เอาส่วนที่แตกต่างก่อน คือ ภารกิจในชีวิตเขากับผมมันคนละสเกลเลย ภารกิจเขาคือเพื่อชาติบ้านเมือง ความทุกข์ของเขามันใหญ่กว่า เขาเกิดมาตอนแรกไม่ได้เป็นที่ยอมรับ เขาเป็นเลือดผสม เขาไม่ได้เป็นมกุฎราชกุมารที่สามารถขึ้นครองราชย์ได้โดยชอบธรรม เขาถูกแต่งตั้งยศขึ้นมาใหม่โดยคุณพ่อ มหาราชาแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชาย หากพูดกันตามตรงการที่คนอินเดียแต่งงานข้ามวรรณะกัน ระหว่างวรรณะสูงกับวรรณะต่ำสุดท้ายลูกจะออกมาเป็นวรรณะล่างสุด  จริงๆ เจ้าชายกีริชเป็นวรรณะจันฑาลด้วยซ้ำ แต่พ่อแต่งตั้งเขาขึ้นมา ฉะนั้นเขาจะมีความทุกข์ในใจเยอะ ทุกข์เรื่องประเทศชาติบ้านเมืองที่ไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ทุกข์ของคนที่เขารักอย่างคุณแม่ที่เสียชีวิต ฉะนั้นชีวิตเขาผ่านการสูญเสียมาโดยตลอดนั่นคือส่วนที่ต่าง”

“ส่วนที่เหมือนกันน่าจะเป็นเรื่องของการแสดงออก การที่มีอะไรก็เก็บไว้เงียบๆ ข้างใน คนใกล้ชิดเท่านั้นที่เราจะบอกเขา มีอะไรก็ทำก่อนค่อยมาเล่าสู่กันฟัง ผมกับเขาเป็นคนแคร์เรื่องระบบครอบครัวมากๆ เหมือนกัน เราแคร์เรื่องพี่น้อง ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่เราต้องช่วยพี่น้องก่อนเรื่องของเราค่อยว่ากันทีหลัง นี่น่าจะเป็นส่วนที่เหมือนของเรา”

ทำการบ้านส่วนไหนหนักที่สุด?

“ผมกลับไปอ่านเรื่องนี้ 3 รอบเลยนะครับ หาความเป็นเจ้าชายกีริช ทั้งเรื่องอุปนิสัย ความคิด ความชอบ พยายามทำการบ้านหาตรงนั้นเพราะเจ้าชายกีริชเขาเป็นคนนิ่งมาก หารายละเอียดของเขาว่าเขามีความน่ารักอะไร มีความขี้เล่นไหม จริงจังแค่ไหน ดุยังไง การเป็นคนนิ่งๆ แต่นิ่งๆ ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน กีริชกับคนใกล้ชิดเขาก็ไม่แล่น แต่เปิดความน่ารักให้คนพิเศษอย่างนวลเนื้อแก้วเท่านั้น ค่อนข้างทำการบ้านส่วนนี้นานพอสมควร”

ร่วมงานกับ “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” ครั้งแรก

“เป็นเกียรติมากๆ ทุกคนยอมรับอยู่แล้วว่าน้องมีฝีไม้ลายมือที่เก่ง วินัยเขาละเอียด พอเราได้ทำงานกับคนที่มีวินัยในการทำงาน มีฝีมือที่ดีมันจะทำให้เรากระตือรือร้นไปด้วย เราคิดว่าทำการบ้านมาแล้ว แต่เขาก็ทำมาเยอะเหมือนกัน เราก็ต้องกระตือรือร้นให้เท่าเขา เราจะไม่ขี้โกงกันเลย ไม่เอาเปรียบกัน เขาเป็นคนละเอียด เวลาเล่นจะเล่นละเอียด ส่งให้เราละเอียด เราก็ต้องละเอียดให้ได้อย่างที่เขาส่งมา ส่งให้เขาให้ดีเหมือนที่เขาส่งให้เราเช่นกัน น้องีวินัยมากครับและมีเอเนอร์จี้เยอะ การทำงานจะมีมูฟเม้นต์ตลอดเราจะไม่เฉื่อยแฉะเลย บางฉากไม่มีอะไรก็สามารถทำให้ดูมีอะไรได้ ไม่แปลกในในความสำเร็จของเขาเลย เวลาไปไหนมีคนบอกว่า โอ้โห ยางเอกคือใบเฟิร์นเหรอ เราก็รู้สึกภูมิใจ เขาทำหน้านี้ของดารเป็นมิสนวลเนื้อแก้วได้ดีจนเรารู้สึกไม่ยากเลยที่จะหลงรักตัวละครตัวนี้”

ใบเฟิร์น-ฌอห์ณ

“สิ่งที่ผมนับถือในตัวเขามากๆ คือ เขาให้เกียรติอาชีพการเป็นนักแสดงของเขามากๆ เขาจะพูดว่ามันคืออาชีพ มันคือวิชาชีพ เขาจะเติมความรู้อยู่ตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่ดีของการเป็นนักแสดงเนาะ เราค่อนข้างว้าว และเราก็ควรทำแบบนั้นครับ”

ชอบอะไรที่สุดในเรื่องนี้?

“ชอบทุกอย่างเลย ไม่ได้ตอบเพื่ออยากพีอาร์ละคนนะ แต่เราโตกันขนาดนี้แล้ว เวลาเราเลือกที่จะใช้เวลาของเราไปกับอะไรสักอย่าง กับใครสักคนนึง กับงานสักงาน โอเคเรื่องความเป็นอยู่ก็เรื่องนึงแต่ใจมันต้องมี เราไม่ใช่วัยเด็กที่เขาส่งอะไรมาเรารับหมด เราอยู่ในวัยที่คัดสรรค์ได้ เวลาเลือกตัดสินใจอะไรมันต้องพิถีพิถัน การรับละครเรื่องนี้ใช้เวลารอตั้งนานกว่าจะเปิด ระหว่างถ่ายทำติดโควิดอีก พักเป็นระยะๆ ถ้าใจมันไม่ได้รักเรื่องนี้จริงมันจะมีแต่ความรู้สึกไม่ดี แต่อันนี้มันรู้สึกรักตัวละครมากๆ รักเส้นเรื่องของเขา รักทุกตัวละครเพราะแต่ละตัวละครีเส้นเรื่องที่ดี ผมรักทุกส่วนของละครเรื่องนี้เลยครับ”

“ถ้าจะให้บอกว่าทำไมต้องดูละครเรื่องนี้ ผมขอเอาคำพูดของคนที่เขาได้เห็นทีเซอร์มาเป็นคำตอบแล้วกัน เพราะถ้าผมตอบจะกลายเป็นว่าอวยของตัวเอง ก็มีคนที่เจอผมแล้วเขาบอกว่า เห้ย ไม่ได้เห็นละครแบบนี้นานแล้ว เส้นเรื่องทีเซอร์น่าสนใจมาก อยากเห็นใบเฟิร์นอีก ไม่ได้เจอฌอห์ณนานแล้ว ไม่เคยเห็นแคสนักแสดงแบบนี้ ไม่ได้เห็นเรื่องปริศนา ความรักและมีเรื่องของปมสิ่งลี้ลับแบบนี้มานานแล้ว คำว่า ไม่ได้เห็นมานานแล้ว มันก็น่าจะพอเป็นเหตุผลทำให้คนอยากดู ผมเชื่อว่ามันมีอะไรแฝงนอกจากความเพลินเพลิน สิ่งที่แฝงไว้ที่คุณเจี๊ยบ วรรธนา เขียนน่าจะเหมาะกับช่วงเวลาแบบนี้ สิ่งที่เราทำทุกวันนี้เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเองแล้วนะ มันมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าครับ”

“ผมก็ฝากละคร สิเน่หาส่าหรี่ ด้วยครับ เป็นผลงานตอนรับปีเสือของช่อง ONE ที่ผมว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่น่าติดตาม เป็นหนึ่งเรื่องที่ภูมิใจนำเสนอ นักแสดงผมเชื่อว่าทุกคนไม่เคยเห็นที่มาอยู่รวมกัน มีเหตุผลหลายๆ ที่ต้องใช้คำว่าลองดูสักหน่อยเถอะ ผมเชื่อว่าละครเรื่องนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สร้างความสุขให้กับคุณ จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจไปกับมัน ก็ฝากไว้ด้วยครับ”

ภาพจากละคร

นอกจากบทบาทการเป็นนักแสดง ฌอห์ณ ยังมีอีกหลายบทบาท ทั้งการทำงานเบื้องหลัง และนั่งแท่นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง

“ตอนนี้มีทำบริษัทโปรดักชั่นเฮาส์ ทำโฆษณา เบื้องหลัง สารคดีต่างๆ มีทำโรงไม้ ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำไม้ ทำประตู ร่วมกับคุณพลอย จินดาโชติ มีทำน้ำหอม แล้วก็เป็นคอลัมนิสต์อิสระครับ ก็ประมาณนี้ครับ ส่วนเรื่องเขียนหนังสือก็วางแพลนอยู่ครับ จริงๆ จะทำช่วงโควิดแต่รู้สึกว่าขอรอให้อายุเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยนึง เก็บเรื่องให้มากขึ้นอีกสักนิดนึง เพราะถ้าเรียนตามตรงคือการเขียนหนังสือไม่ได้สร้างรายได้อะไรมาก มันต้องแพสชั่นพอสมควรและต้องใช้เวลา ผมอยากเขียนในช่วงที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว น่าจะเล่าในสิ่งที่ผ่านมาได้ดีที่สุด ก็เก็บๆ เรื่องไปครับ”

งานเต็มมือแบบนี้ งานหน้าจอจะน้อยลงไหม?

“พยายามจะไม่น้อยลงนะครับ ยังอยากรับอยู่ ยังชื่นชอบการแสดงมากๆ รู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ทำให้เรามีวันนี้ หลายๆ คนเจอเราไปทำโปรดักชั่น หรือ กำกับ เขาก็งงว่าเรามาเล่นหรือมาทำอะไร คนอาจจะยังไม่ชินกับบทบาทอื่นๆ คนยังชินกับบทบาทการแสดง เพราะฉะนั้นยังมาทิ้งครับ แต่ปรับเปลี่ยนตามวาระและโอกาส อาจจะไม่ได้รับเยอะมาก ถี่เหมือนเมื่อก่อน แต่ยังไงก็จะไม่หายเพราะว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบ แต่อาจจะพิถีพิถันกับมัน แต่ยังไงก็จะไม่หาย ตั้งใจไว้แบบนั้นครับ”

โควิดกระทบยังไงบ้าง?

“กระทบทุกอย่างเลยครับ อย่างงานโปรดักชั่นเจอโควิดก็ทำให้ออกกองไม่ได้ ลูกค้าก็รอ ลูกค้าเข้าใจแต่ก็ทำงานลำบาก มาตรการมีมากขึ้น ตัวเราเองนอกจากเป็นครีเอทีฟไดเรคฯ เป็นไดเรคฯ และเป็นโปรดิวฯ เพราะฉะนั้นเราจะเหนื่อยมากกับการจัดสรรงบประมาณ การออกกอง หรือการแก้ปัญหา เมื่อก่อนเราเป็นแค่นักแสดงก็แค่ เขาส่งเบรคดาวน์ เขานัดกี่โมง เราไป มีข้าวรอ มีอะไร แต่อันนี้นอกจากเราต้องมาช่วยเขากำกับ มาวางสตอรี่บอร์ด เราต้องมาดูแม้กระทั่งน้ำนักแสดงได้หรือยัง โลเคชั่นต้องปล่อยกี่โมง ฉะนั้นหัวเราจะคิดตลอดเวลาว่าจะทำยังไงให้งานมันเสร็จและได้งานคุณภาพ บางครั้งเราต้องยอมแลกไม่งั้นมันกระทบไปหมดเลยครับ แล้วก็อย่างโรงไม้ การก่อสร้างมันหยุดไป สายป่านมันหยุด ลูกน้องเราล่ะ คนในโรงงาน ลูก ภรรยาเขา เขายังต้องเรียนหนังสือต้องเรียนออนไลน์ มันคิดหลายอย่าง”

ฌอห์ณ จินดาโชติ

“ธุรกิจน้ำหอมอีกที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น เราไม่ได้อยู่ในแวดวงของธุรกิจแบบนี้ เรียนรู้ หาช่องทางอะไรแบบนี้ครับ ผมว่ามันเปลี่ยนอิริยาบถของผมมากมาย อะไรยอมได้ยอม อะไรที่ต้องชัดเจนก็ต้องชัดเจน อะไรที่ต้องเสียของตัวเองเพื่อเซฟส่วนรวมก็ต้องเซฟเพราะเรามีลูกน้อง เรามีคนที่เขารออยู่ แต่ถ้ามองวิกฤติเป็นโอกาสก็คือ มันทำให้เราไม่นอนอยู่เฉย ไม่ทำให้เราอยู่กับตัวเองว่า เห้ย ฉันเป็นนักแสดงนะ คนปกติให้โอกาสเรา แต่อันนี้เราต้องวิ่งหาโอกาส ทำให้เรากระฉับกระเฉงขึ้นเยอะ”

ส่วนไหนที่มองว่าเสียโอกาสไปเยอะที่สุด?

“เวลามันเสียไปครับ 2 ปีนี้ผมไม่ได้เดินทางเลย 2 ปีผมถ่ายละครไม่ได้ แต่อายุผมเพิ่มขึ้น สิ่งที่น่าเสียดายคือ ตอนนี้เมื่อคนถามว่าอายุเท่าไหร่ผมก็จะบอกว่า 33 แล้วครับ เขาก็จะ ห๊ะ! 33 แล้วเหรอ เหมือนเราสตาฟไว้ที่ 30-31 อยู่ เรากำลังจะเปิดกล้องละคร หมายความว่า 2 ปี ที่ผ่านมาผมอาจจะได้เล่นละครได้อีก 2-3 เรื่องละ หรือผมอาจจะได้เดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต ตอนนี้ผม 33 ข้ออ้างในการผิดพลาดมันน้อยลง ความน่าเสียดายคือ เวลามันเคลื่อนที่ไปแต่ตัวเราเคลื่อนที่ได้ยากขึ้น ข้อจำกัดต่างๆ แต่ก็พยายามแก้ไขด้วยการที่ว่าในขณะที่เราอยู่กับที่เรายังมีโทรศัพท์ มีคอมพิวเตอร์ พยายามคอนเน็คกับทุกคนเพื่อหาโอกาสฝึกปรือว่าจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อที่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วเราสามารถพร้อมทำงานแล้ว เราไม่เสียเวลา ในขณะที่คนหยุดนิ่งเรายังเดินหน้าอยู่ ฉะนั้นเวลาที่ทุกคนเขาเดินหน้าเราจะได้ก้าวกระโดดไป”

เครียดไหมเพราะต้องรับผิดชอบเยอะ?

“ก็เครียด แต่ไม่รู้จะหาเหตุผลของการเครียดทำไมเพราะทุกคนก็เป็นเหมือนกัน หันไปรอบตัวทุกคนก็บ่นเรื่องเดียวกัน มันผ่านจุดนั้นไปแล้ว ผมว่าทุกคนเป็นนะ ทุกคนจะบ่นงานก็ไม่ได้ทำ เงินก็ไม่เข้า รายจ่ายก็ก็ต้องจ่าย ทุกคนก็ให้กำลังใจว่าสู้ๆ บางคนเปลี่ยนตัวเองมาขายของออนไลน์หรืออะไรแบบนี้ ผมรู้สึกว่าทุกคนสู้กันหมด เพราะฉะนั้นเราจะบ่นไปก็เท่านั้นในเมื่อทุกคนสู้เราก็ต้องสู้เหมือนกัน แต่เราแค่ไม่ได้มาบอก เราจะไม่เล่าความลำบากที่มันเกิดขึ้น เพราะทุกคนก็ลำบากเหมือนกัน ทุกคนไม่อยากฟังความลำบากของใคร ความสำเร็จมันจะเกิดขึ้นเมื่อเราลงมือทำ ความสำเร็จที่น่าชื่นชม คือ ความสำเร็จที่ไม่โอ้อวด ฉะนั้นผมรู้สึกว่าระหว่างทางเราก็ทำไป ถ้าดีก็จะมีคนที่รักเรามาชื่นชม ถ้าไม่ดีไม่ถูกใจใครเราก็อย่าไปว่าเขา พยายามคิดให้ง่ายที่สุดแล้วก็พยายามไม่เสียดายเวลาเสียดายชีวิตเพราะอายุเราก็เพิ่มขึ้นทุกวันครับ”

15 ปีในวงการบันเทิงจุดไหนที่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปที่สุด?

“ผมว่าน่าจะเป็นความชัดเจนนะ ด้วยวัย ตอบอะไรได้ตอบ ตอบแบบไม่ต้องถามต่อแล้ว หรือ พูดในสิ่งที่ชอบ พูดในสิ่งที่ทำ เคารพตัวเองมากขึ้น เคารพผู้อื่นมากขึ้น เมื่อก่อนเรายังมีความเก้ๆ กังๆ ตามวัย อันนี้ทำได้มั้ย อันนั้นทำได้มั้ย แต่พอประสบการณ์เรียนรู้เอะแล้ว เราก็รู้อันนี้ไม่ควรนะ อันนี้ไม่ต้องแคร์นะ ไม่ใช่ไม่แคร์เพราะไม่แคร์โลก แต่ว่าเราแคร์ทุกเรื่องไม่ได้ แคร์ในเรื่องที่ควรแคร์เพราะบ่าเรามีสองข้างเอง ฉะนั้นเรารับทุกเรื่องเราจะตาย เราใช้ชีวิตว่า เห้ยจบละเดี๋ยวไปงานอื่นต่อ เดี๋ยวไปคิดงานอื่น คนข้างหลังเรา ลูกน้องเราอะไรแบบนี้ เมื่อก่อนมันจะมีแบบคิดเล็กคิดน้อย คิดหลายตลบ ตอนนี้ก็ถามตัวเองว่าเราทำหน้าที่ของเราดีหรือยัง ถ้าดีแล้วก็จบ ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่องความชัดเจน ความตรงไปตรงมา และการเคารพทุกเส้นของทุกคนไลน์มันชัดขึ้นครับ”

ฌอห์ณ จินดาโชติ

เมื่อต้องพูดถึงเรื่องของ “ความรัก” หนุ่ม ฌอห์ณ ในวัย 33 เล่าเรื่องนี้ด้วยสายตาแห่งความสุข เผยความรักที่แฮปปี้และลงตัวจนพูดได้เต็มปากว่า “โชคดี” 

“เป็นจังหวะที่ดี เป็นโอกาสที่ดี เป็นความโชคดีของผม ผมจะบอกเสมอว่าเป็นความโชคดีของผมที่ได้เจอคุณเพชร ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้หวานแหววเวอร์ หรือขมขื่น ไม่มี มันอยู่บาลานซ์ตรงกลางในเกณฑ์ที่ดีครับ คบกันมาอีกไม่นานก็จะ 2 ปีแล้ว ความเข้ากันได้มีค่อนข้างเยอะมากกว่าที่เข้าไม่ได้ ถึงเข้าไม่ได้ก็ปรับตัวกันได้นะครับ ปรับตัวกันได้ไม่ใช่ว่าเปลี่ยน ผมบอกเขาตลอดว่าไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อใครบางคน เพราะที่ผ่านมาเขาอยู่กับ คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาวเขามาทั้งชีวิต เขาก็มีบางเรื่องที่เขาคงไม่ได้เปลี่ยน ฉะนั้นจะมาเปลี่ยนเพื่อผมคนเดียวในไม่แฟร์  ใช้คำว่าปรับดีกว่า อันไหนปรับได้ก็ปรับกัน แต่เรื่องที่เข้ากันได้มันเยอะ”

“ผมว่าสิ่งที่สำคัญเวลาทุกคนมีคู่นั่นคือ ทัศนคติ การมองโลกเราเหมือนกัน เราไม่ได้มองโลกสวยไปหมด และเราก็ไม่ได้มองโลกสีเท๊าเทา เราอยู่ด้วยพลังงานที่ค่อนข้างเป็นบวก มันก็เลยทำให้เรามีแรง มีกำลังใจ ในการใช้ชีวิต การทำงาน ยิ่งเราทำงานคนละเส้นสายกัน การเปิดใจยอมรับความแตกต่างมันสำคัญมาก ซึ่งคุณเพชรทำหน้าที่ตรงนั้นได้ดีมากๆ และทำให้ผมมีกำลังใจ ยิ่งในสถานการณ์โควิดแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของผมมาก มันอาจจะเป็นคำตอบที่อาจจะมองว่าเวอร์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าทุกคนจะมีจังหวะชีวิตของตัวเอง จังหวะนึง คุณเคยไหมมันเหมือนเจอเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้อย่างพอดี ไม่ต้องไปปรับแก้ เราใส่แล้วรู้สึกชอบ เนื้อผ้ามันสบายตัว เดินไปไหนก็มีแต่คนบอกว่าดูเข้ากับเธอนะ ราคามันอีกเรื่องนึง ถูก แพง เราไม่รู้ แต่เป็นความสบายใจของเรา ตัดสินใจถูกที่ซื้อ และซัก อยู่กับเรา บำรุงรักษา ไม่ได้ทำร้าย มีแต่ส่งเสริมเราด้วย ผมเปรียบเปรยนะครับ มันอาจจะคนละแบบ เสื้อผ้ากับความสัมพันธ์แต่ผมรู้สึกแบบนั้น ผมไม่เคยรู้สึกต้องตั้งคำถามว่าใช่หรือเปล่า เพราะรู้สึกใช่ รู้สึกดี รู้สึกไม่มีความเสียเวลาเลยแม้เวลานั้นเราจะมีปัญหาร่วมกันก็รู้สึกว่านี่คือบทเรียนที่เราได้เรียนรู้และปรับตัวเข้าหากันรู้สึกโชคดี ก็ยังใช้คำว่าโชคดีเสมอ”

เวลาเจอปัญหาให้กำลังใจกันยังไง?

“อยู่ครับ อยู่ บางครั้งไม่ต้องพูดแต่อยู่ อยู่จริงๆ ให้เขาเห็น ไม่ว่าจะปรากฏตัวหรือไม่ปรากฏตัว อยู่ในสายก็คืออยู่ในสายไม่ใช่ว่าเขาปรับทุกข์อยู่แล้วล้างจาน ทำโน่นทำนี่ ฟังเขาบ่นไปไม่ใช่ อยู่คือฟังจริงๆ ผู้หญิงเขาแค่ต้องการคนที่ฟัง แค่ฟังจริงๆ ฟังว่าเขารู้สึกยังไง บางครั้งอารมณ์เขาก็ปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละเดือน แต่เราแค่มีหน้าที่ไปฟังสิ่งไหนที่ต้องการเขาจะพูด เราจับจุดให้ถูกแล้วทำ ทำก็ทำเลยไม่ต้องรีรอ แค่นี้เอง”

ฌอห์ณ-เพชร

เป็นคนที่คาดหวังกับความรักหรือคนรักไหม?

“ไม่เลยครับ คาดหวังคือการสร้างกฎเกณฑ์ที่ทำให้ความผิดหวังมันเกิด ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เจอคนนี้ ผมไม่เคยคิดว่าเขาจะมีบุคลิกแบบนี้ ทำงานแบบนี้ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีแฟนเป็นดีไซน์เนอร์ ผมไม่คิดว่าแฟนผมจะบินไปต่างประเทศตลอดเวลา ผมไม่คิดว่าแฟนผมจะพูดหลายภาษา ผมไม่คิดว่าแฟนผมจะเป็นคนชอบกินอาหารเช้า เป็นคนกิจกรรมเยอะ ไม่เคย ไม่เคยวางแผน แต่เพราะว่าความไม่วางแผน ไม่คาดหวัง มันทำให้เวลาเจอแล้วมันจะรู้สึกมีคุณค่ามากๆ ในมุมผมนะ เรารู้สึกเอ็นจอยกับชีวิตตรงนั้น และในสิ่งที่มันไม่ถูกอกถูกใจบอกกันตรงๆ และก็ปรับ เอ็นจอยโมเมนต์ไป ให้เกียรติกัน ฟังกัน”

“จริงๆ แล้วความรักก็คือการให้ ที่พ่อแม่เราสอนมาว่า อยู่กันอย่านับแค่วันที่ดี เพราะวันที่ดีมันมีหลายคนเข้ามาในชีวิตแน่ๆ ที่อยากอยู่กับคุณ วันที่เราสะพรั่งที่สุด ในวันที่เราฟู่ฟ่าที่สุดในวันที่เราเนื้อหอมที่สุด ยังไงดอกไม้ แมลงก็อยากมาผสมเกสร แต่ในวันที่เราผ่านจุดหนักในชีวิตมา ในวันที่เราเหี่ยวเฉา ในวันที่เราต้องพยายามที่สุดให้เรานับวันนั้น การมีมุมมองความรักคือการเรียนรู้ผ่านในทุกช่วงเหตุการณ์ไปด้วยกัน และผมรู้สึกว่าเราให้ แต่อย่าหวังผลนะ มีร้อยคุณอย่าหวังว่าจะได้พันกลับ เพราะถ้าคุณคาดหวังแล้วมันไม่ใช่การให้ที่แท้จริง ให้เพราะเราปรารถนาดี เจตนาดีต่อกันอยากให้เขาได้ดี คุณไม่มีทุนทรัพย์ คุณก็ให้คำพูดและการกระทำ คุณให้อะไรก็ได้ ให้กันไป ผมว่านี่คือการเริ่มต้นความรักที่ดี มันไม่มีสูตรตายตัวแล้วแต่คู่”

อยากแต่งงานหรือยัง?

“มีความตั้งใจไว้แบบนั้น แต่อาจจะพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะเดี๋ยวออกสื่อแล้วเขาจะ เอ๊ะ อ๊ะ แต่มีความตั้งใจครับ มีความตั้งใจมากๆ พยายามทำงานให้เยอะที่สุด เก็บเป็นทุนเพื่อให้เขามีคุณภาพชีวิตที่โอเค เขามีทุนในชีวิตที่ดี เขามีสิ่งแวดล้อมที่ดีแล้ว ไม่อยากพาเขามาลำบากมาก เราอยากเกลี่ยทางให้ง่ายที่สุดครับ ยังไม่บอกไทม์ไลน์แต่ก็ตั้งใจทำงาน ก็ตอบเหมือนเดิมว่าเขาก็คือเจตนาของเราครับ”

เรียกว่าคุยกันเต็มอิ่มได้ทั้งอัปเดตเรื่องราวชีวิต แถมยังได้มุมมองดีๆ ในการใช้ชีวิตมาอีกเพียบ สำหรับหนุ่ม ฌอห์ณ จินดาโชติ เห็นแบบนี้แล้วแฟนๆ ที่กลัวว่า ฌอห์ณ จะหายจากหน้าจอไปทำธุรกิจถาวรก็หายห่วงได้เลยเพราะเจ้าตัวยืนยันว่าพยายามไม่หายไปไหน ส่วนตอนนี้ก็อย่าลืมดูละคร “สิเน่หาส่าหรี” กันทุกๆ ตอนเพราะบอกเลยว่า เรื่องนี้งานดีงานละเอียดจริงๆ